รายงานวิชา
830029 ปัญหาและประเด็นสำคัญด้านการพัฒนา
บทความทางวิชาการ
เรื่อง อนาคตไทยกับสังคมผู้สูงอายุ
น.ส.วัลลียา วิริยะสุมน
53242537
คณะสังคมศาสตร์
เอกพัฒนาสังคม ปี3
อนาคตไทยกับสังคมผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นประเด็นที่กำลังมีปัญหาและได้รับความสนใจอย่างมาก
ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ
เพราะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับมหภาค ได้แก่
ผลต่อผลผลิตรวมของประเทศ (GDP) รายได้ต่อหัวของประชากร
การออม และการลงทุน งบประมาณของรัฐ และในระดับจุลภาค ได้แก่ ผลต่อตลาดผลิตภัณฑ์
และบริการต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเงินและสุขภาพ
การเตรียมความพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ต้องเริ่มตั้งแต่บัดนี้
เพราะมาตรการเกือบทุกอย่างต้องใช้เวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น
ความหมายเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ด้านสังคมวิทยากำหนดว่า
ผู้สูงอายุเป็นผู้มีอายุมากจนถึงขั้นให้สังคมอนุเคราะห์มากกว่าที่จะอนุเคราะห์สังคม ด้านกฎหมาย กำหนดว่าผู้ที่มีอายุ 60
ปีบริบูรณ์ เข้าสู่ชราภาพ ต้องปลดเกษียณตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน ด้านสรีรวิทยา
กำหนดที่กระบวนการเข้าสู่วัยชราเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี
และคนจะเข้าถึงวัยชราแท้จริงตามหลักสรีรวิทยาจะช้าเร็วผิดกันตามสภาวะแวดล้อมและพฤติกรรมของแต่ละคน
ส่วนทางด้านจิตวิทยา
กำหนดว่าสามารถสังเกตพฤติกรรมได้ว่าเป็นพฤติกรรมของผู้สูงอายุ เช่น มือสั่นน้อย ๆ
จำได้ยาก หลงลืมง่าย ช่วงความใส่ใจน้อยลง จิตใจสงบน้อยลง เป็นห่วงกังวลมากขึ้น
จดจำในการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เสถียรภาพทางอารมณ์น้อยลง
หงุดหงิดบ่อยขึ้นและหงุดหงิดในเรื่องที่ไร้สาระ นอนหลับได้น้อยลง
การศึกษาผู้สูงอายุแต่ละสังคมจะแตกต่างกันออกไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุโดยเฉลี่ยของการทำงานหรือสภาพทางร่างกาย
สภาพทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
จะเห็นได้ว่า
ความหมายเกี่ยวกับผู้สูงอายุมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งพอสรุปได้ว่าผู้สูงอายุ คือ
บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
มีสภาพร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมถอย
มีโอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายสมควรที่จะได้รับการดูแลช่วยเหลือ
และยังถือว่าเป็นวัยที่เกษียณจากการทำงาน
สำหรับประเทศไทยกำหนดว่าเป็นผู้สูงอายุหรือไม่
โดยยึดตามเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกและองค์การระหว่างประเทศได้ประชุมตกลงกันซึ่งนับอายุตามปฏิทินเป็นมาตรฐานสากล
แบ่งเกณฑ์อายุ ตามสภาพของการมีอายุเพิ่มขึ้นดังนี้ ผู้สูงอายุ (elderly)
เป็นผู้มีอายุระหว่าง 60-74 ปี คนชรา (old) เป็นผู้มีอายุระหว่าง
75-90 ปี และคนชรามาก (very old) เป็นผู้มีอายุ 90 ปีขึ้นไป
กำหนดว่าเป็นผู้สูงอายุหรือไม่
โดยยึดตามเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกและองค์การระหว่างประเทศได้ประชุมตกลงกันซึ่งนับอายุตามปฏิทินเป็นมาตรฐานสากล
แบ่งเกณฑ์อายุ ตามสภาพของการมีอายุเพิ่มขึ้นดังนี้ ผู้สูงอายุ (elderly)
เป็นผู้มีอายุระหว่าง 60-74 ปี คนชรา (old) เป็นผู้มีอายุระหว่าง
75-90 ปี และคนชรามาก (very old) เป็นผู้มีอายุ 90 ปีขึ้นไป
สังคมผู้สูงอายุองค์การสหประชาชาติได้ให้นิยามว่าประเทศใดมีประชากรอายุ
60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนเกิน 10% หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกิน 7% ของประชากรทั้งประเทศ
ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) เมื่อสัดส่วนประชากรที่มีอายุ
60 ปีเพิ่มเป็น 20% และอายุ 65 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 14%
สำหรับประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี
2548 คือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 10.5% แนวโน้มในอนาคตที่เห็นได้ชัดเจน คือ ประชากรไทยจะมีอายุยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ในอีกเพียงไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ประชากร 1 ใน 5 จะเป็นผู้สูงอายุ
และสัดส่วนจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกหลังจากนี้ ทุกวันนี้
เราจะเริ่มรู้สึกว่าในสังคมมีคนแก่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ขณะเดียวกันเด็กก็เริ่มลดน้อยลง
ภาพที่เห็นเช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ทางประชากรที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ภาวะเจริญพันธุ์ของประชากรไทยลดต่ำลงมากและรวดเร็ว
ตามหลักฐานการจดทะเบียนเกิดในแต่ละปีจากทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทย ในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ถึง 2526 มีเด็กเกิดปีละเกินกว่าล้านคน อัตราเกิดช่วงนั้นสูงมากเกินกว่า 35 ต่อประชากร 1000 คน แต่หลังจากนั้น
อัตราและจำนวนเด็กเกิดในประเทศก็ลดลงเรื่อยๆจนในปัจจุบันเมื่อปี 2553 อัตราเกิดได้ลดลงเหลือเพียง 13 ต่อประชากร 1000 คน และจำนวนเกิดได้ลดลงเหลือเพียง 7 แสน8 หมื่นคนเท่านั้น
ในขณะที่ภาวะเจริญพันธุ์ของประชากรไทยลดลง
อายุคาดเฉลี่ยของคนไทยก็ยืนยาวขึ้น เนื่องจาก การพัฒนาประเทศด้านต่างๆ
ทั้งด้านการแพทย์สาธารณสุข สุขาภิบาล เศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อมทำให้อัตราตายของประชากรไทยลดต่ำลงอย่างมากในทุกกลุ่มอายุ
ปัจจุบันการตายก่อนอายุครบ 60
ปีของประชากรคิดเป็นร้อยละ 30 ในอนาคตการตายก่อนอายุครบ 60 ปี น่าจะเหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยได้ศึกษา
ผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมีประเด็นหลัก 3 ประเด็น คือ
1. สถานการณ์ด้านประชากรของประเทศ
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างอายุประชากรของประเทศไทยได้เปลี่ยนจากเดิมที่เป็นรูปทรงคล้ายพีระมิดฐานกว้าง มาเป็นรูปคล้ายหกเหลี่ยม
เพราะปัจจุบันมีสัดส่วนประชากรวัยกลางคนค่อนข้างสูง
สาเหตุเนื่องจากอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทำให้อัตราเจริญพันธุ์ต่ำกว่าระดับทดแทน
ขณะที่อัตราการเสียชีวิตลดลงเพราะการพัฒนาทางสาธารณสุขที่ดีขึ้น
ทำให้แนวโน้มประชากรมีอายุยืนขึ้น การที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น
ขณะที่อัตราการเกิดทดแทนลดลง ทำให้สัดส่วนของผู้ที่อยู่ในวัยพึ่งพิงวัยทำงานเพิ่มสูงขึ้น
เป็นผลให้ประชาชนที่อยู่ในวัยทำงานต้องทำงานมาขึ้นเพื่อปันผล
หาเลี้ยงประชากรวัยพึ่งพิง คาดว่า ในปี พ.ศ. 2573
จะมีผู้สูงอายุ(ที่ไม่ได้ทำงาน) ต่อประชากรวัยทำงาน ในสัดส่วน 1:4 คน
2. ผลต่อเศรษฐกิจในเชิงมหภาค
ประชากรในประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำมีผลต่อการเติบโตของรายได้ประชาชาติ (GDP)
โดยจะทำให้ GDP ต่อหัวของคนในประเทศเพิ่มขึ้น
ซึ่งจะส่งผลทางลบต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เพราะภาวะการขาดแคลนแรงงานทำให้ค่าแรงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นและก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมผู้สูงอายุกับระดับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคครัวเรือนขึ้นอยู่กับรายได้ของบุคคลเป็นหลัก
สังคมที่ผู้สูงอายุมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพและมีฐานะยากจนการบริโภคของประเทศไทยก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ด้านการเงินการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค) ช่วยให้การเข้าถึงบริการ
ที่จำเป็นของผู้ป่วยดีขึ้นโดยเฉพาะบริการทางการแพทย์ที่มีต้นทุนสูง
ส่งผลให้รายจ่ายสุขภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตั่งแต่เริ่มมีโครงการ ซึ่งรัฐเป็นผู้รับภาระถึงประมาณ3ใน4และมีแนวโน้มจะมีภาระเพิ่มขึ้นในระยะยาว เมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มอายุอื่นผู้สูงอายุย่อมมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่า
ยิ่งผู้สูงอายุมีอายุเพิ่มมากขึ้นก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และ
สามารถพึ่งตนเองได้น้อยลง
โรคของผู้สูงอายุมักเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลระยะยาว เช่น โรคเบาหวาน
โรคความจำเสื่อม โรคเหล่านี้ต้องการการรักษาต่อเนื่อง
และจะเพิ่มภาระในการดูแลรักษาให้กับสังคมไทย
การเตรียมความพร้อมของระบบบริการสุขภาพโดยเฉพาะทรัพยากรสุขภาพที่จำเป็นทั้ง
สถานบริการ บุคลากร และงบประมาณ
เพื่อการให้บริการและการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพเป็นเรื่องที่ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า
3.ผลกระทบต่อแรงงานและภาคการผลิตของประเทศ
สังคมผู้สูงอายุมีผลต่อภาคการผลิตของประเทศ 2 ทาง
คือด้านอุปสงค์ เนื่องจากรูปแบบการบริโภคของผู้สูงอายุแตกต่างจากวัยทำงาน
ทำให้เกิดความต้องการบริโภคสินค้าที่แตกต่างออกไปด้านอุปทาน สังคมผู้สูงอายุอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต
เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ ทำให้กำลังแรงงานในอนาคตลดลง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร
ภาคการค้า และบริการภาวะขาดแคลนแรงงานและแนวโน้มค่าแรงที่สูงขึ้น
ทำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
การบริการและสวัสดิการผู้สูงอายุการบริการสำหรับผู้สูงอายุทางด้านสังคมของรัฐภายใต้ความรับผิดชอบของกรมประชาสงเคราะห์ได้มีการจัดการบริการแก่ผู้สูงอายุอย่างชัดเจนตั้งแต่
พ.ศ. 2496
โดยการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราแห่งแรกขึ้นจากนั้นมีการจัดตั้งศูนย์บริการคนชราซึ่งทำหน้าที่หลักในด้านการบริการดูแลกลางวัน
เป็นแหล่งพักพิงฉุกเฉิน และหน่วยบริการชุมชนเคลื่อนที่
โดยเน้นการส่งเสริมและการบำบัดรักษา
ภายหลังจากการจัดทำนโยบายและมาตรการสำหรับผู้สูงอายุระยะยาว ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2554 นั้น
กรมประชาสงเคราะห์ได้เริ่มดำเนินโครงการเงินอุดหนุนกองทุนส่งเสริมสวัสดิการผู้สูงอายุในชุมชน
หรือโครงการเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการเงินในการยังชีพที่ไม่มีผู้ดูแลหรืออุปการะและไม่สามารถประกอบอาชีพได้
ซึ่งโครงการนี้เป็นสวัสดิการของรัฐ นอกจากนี้ยังจัด
ทำโครงการนำร่องการจัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุในชุมชนโดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ทดลอง
4 แห่ง เช่น กรุงเทพฯ สุพรรณบุรี
ขอนแก่นและเชียงใหม่โครงการนี้มุ่งจะให้ชุมชนเกิดความตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการจัดการเพื่อผู้สูงอายุภายในชุมชน
โดยเน้นการจัดบริการส่งเสริมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรม “ชุมชนช่วยชุมชน”
สำหรับนอกภาครัฐจะเป็นการดำเนินการขององค์กรอิสระเป็นส่วนใหญ่ เช่น
สภากาชาดไทย มูลนิธิดวงประทีป และองค์กรทางศาสนาต่าง ๆ เป็นต้น
โดยเน้นทั้งการสงเคราะห์ในชุมชนและสถานบริการ
แต่ปริมาณการบริการยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น
บริการทางสังคมเป็นรูปแบบที่มากที่สุด
ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะแฝงกับวัดทางพุทธศาสนาที่มีผู้สูงอายุทั้งที่บวชเป็นพระ
ถือศีลเป็นชี และที่อยู่อาศัยในบริเวณวัดหรือบริเวณใกล้เคียง
สำหรับสถานสงเคราะห์คนชราของกรมประชาสงเคราะห์นั้น
รับเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาสังคมและยังช่วยตนเองไม่ได้เท่านั้น โดยมีบริการแบบให้เปล่า
และที่เก็บค่า บริการบางส่วน สำหรับรูปแบบการบริการในชุมชน
ยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กรที่ให้บริการ เช่น
การให้เงินอุดหนุนรายเดือน การสนับสนุนการซ่อมแซมที่พักอาศัย
การช่วยเหลือด้านอาหารและของอุปโภค เป็นต้น สำหรับการบริการโดยเอกชนเพื่อหวังผลกำไรจะเป็นรูปแบบสถานบริการเรื้อรัง
โดยแฝงรวมการบริการผู้ที่มีปัญหาทางสังคมที่มีกำลังซื้อรวมไว้ในการบริการสุขภาพเรื้อรัง
นโยบายสาธารณะเพื่อการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ
ตั้งแต่ พ.ศ. 2534
เป็นต้นมาได้มีการจัดตั้งหน่วยงานการบริการ ที่สำคัญ ได้แก่
การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุที่วัดญาณสังวราราม
การจัดทำบัตรประจำตัวผู้สูงอายุ ในปีเดียวกัน
และกำหนดการจัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุและชมรมผู้สูงอายุขึ้นในโรงพยาบาลต่าง ๆ
ทั่วประเทศ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535
ได้มีการจัดทำนโยบายและมาตรการสำหรับผู้สูงอายุระยะยาว (พ.ศ. 2535-2554) และจัดตั้งสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบายชัดเจนให้มีสวัสดิการด้วยการสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุเมื่อพิจารณาความจำเป็นของการจัดให้มีนโยบายสาธารณะ
เพื่อการดูแลผู้สูงอายุนั้น เนื่องจากสถานการณ์ของผู้สูงอายุ
มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะวิกฤต
ดังนั้นนโยบายที่เหมาะสมสำหรับการจัดสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุ
ควรเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับระบบการดูแลระยะยาว ไปถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
เนื่องจากการดูแลระยะยาวเป็นการจัดบริการทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
สำหรับสภาพปัญหาด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุซึ่งหมายถึงการมีรายได้เพื่อการยังชีพในชีวิตประจำวัน
เป็นปัญหาสำคัญที่ทั้งผู้สูงอายุและครอบครัวประสบในปัจจุบัน
และต่างมีความต้องการที่จะมีรายได้ เพื่อการยังชีพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นควรมีการจัดตั้งกองทุนผู้สูงอายุชุมชน
เพื่อให้มีส่วนดูแลผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาด้านรายได้นอกจากนั้นแนวคิดการขยายเวลาในการประกอบอาชีพ
กรณีที่ผู้สูงอายุยังคงสามารถปฏิบัติงานได้
เป็นข้อพิจารณาประการหนึ่งที่ควรส่งเสริม
เพื่อสนับสนุนให้เกิดโอกาสการจ้างงานในผู้สูงอายุให้มากขึ้น
แนวคิดทฤษฎีทางสังคมศาสตร์หรือสังคมวิทยา ที่เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ
ทฤษฎีทางสังคมเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงแนวโน้มบทบาท
สัมพันธภาพ และการปรับตัวในสังคมของผู้สูงอายุ
ซึ่งพยายามวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ผุ้สูงอายุต้องมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมไป
และพยายามที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
มีแนวคิดที่น่าสนใจ ได้แก่
1.ทฤษฎีกิจกรรม ( Activity Theory ) พัฒนาขึ้นโดย Robert Havighurst 1960
ได้อธิบายถึงสถานภาพทางสังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ในทางบวก
ระหว่างการปฏิบัติกิจกรรมกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ
กล่าวคือเมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้น สถานภาพ และบทบาททางสังคมจะลดลง
แต่บุคคลยังมีความต้องการทางสังคมเหมือนบุคคลในวัยกลางคน ซึ่งทฤษฎีนี้เชื่อว่า
ผู้สูงอายุมีความต้องการที่จะเข้าร่วมกิจกรรม
เพื่อความสุขและการมีชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับวัยผู้ใหญ่ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่ตนเองสนใจได้
สำหรับคำว่ากิจกรรมตามแนวคิดนี้หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ
นอกเหนือจากกิจกรรมที่บุคคลปฏิบัติต่อตนเอง
นั่นคือกิจกรรมที่บุคคลปฏิบัติต่อเพื่อนฝูง ต่อสังคม หรือชุมชน ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ
ที่ผู้สูงอายุปฏิบัติจะทำให้รู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
สาระของทฤษฎีนี้อธิบายได้ว่า
การมีกิจกรรมต่อสังคมของผู้สูงอายุจะมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ
ดังนั้นการมีกิจกรรมที่พอเหมาะกับวัยของผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและจำเป็น
การจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับ ผู้สูงอายุควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
สภาพสังคมปัจจุบันที่ทันสมัย และเปลี่ยนแปลงไป (Modernization Perspective
) เป็นปัจจัยซึ่งว่าด้วยบทบาทของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
อาจทำให้ผู้สูงอายุก้าวตามไปไม่ทัน การเชื่อมโยงบุคคลแต่ละวัยแต่ละยุค (Intergeneration
Linkege) เป็นปัจจัยที่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์ชีวิตของคนเมื่ออายุมากขึ้น
ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันระหว่างคนในวัยเดียวกันแต่คนละยุคสมัย
นอกจากนี้ทฤษฎีกิจกรรมยังเชื่อว่า
ผู้สูงอายุจะมีความสุข
ความพึงพอใจในชีวิตเมื่อได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องจากที่เคยทำมาในอดีต จนเป็นวิถีชีวิตในปัจจุบัน
สำหรับกิจกรรมนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
กิจกรรมที่ไม่มีรูปแบบ (informal activity) กิจกรรมที่มีรูปแบบ
(formal activity) กิจกรรมที่ทำตามลำพัง หรือทำคนเดียว (solitary)
ซึ่งกิจกรรมแต่ละประเภทมีลักษณะดังนี้ เช่น กิจกรรมที่ไม่มีรูปแบบ (informal
activity) กิจกรรมนี้มีลักษณะเป็นกิจกรรมของผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นทั้งในครอบครัวและสังคม
ไม่มีการกำหนดรูปแบบเวลา การปฏิบัติที่แน่นอนชัดเจน
กิจกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุปฏิบัติร่วม
กับสมาชิกในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดอื่น เช่น ญาติ เพื่อน เพื่อนบ้าน
เป็นกิจกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพกาย จิต สังคม
มีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ระยะทางความใกล้ชิดกันในเรื่องบ้านที่อยู่อาศัยมีผลต่อการร่วมกิจกรรม
กล่าวคือ คนที่อาศัยอยู่บ้านใกล้กันจะมีกิจกรรมร่วมกันมากกว่าคนที่อาศัยอยู่บ้านที่ห่างไกลกัน
มีการนัดพบสังสรรค์กัน มีกิจกรรมนันทนาการในกลุ่มเดิมเสมอ มีการท่องเที่ยวร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมีการทำงานฝีมือเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของครอบครัว
กิจกรรมที่ไม่มีรูปแบบนี้ให้ประโยชน์ทั้งผู้สูงอายุและครอบครัว กิจกรรมที่มีรูปแบบ
(formal activity) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ผู้สูงอายุเข้าร่วมในองค์กร
เช่นสมาคม ชมรมหรือกลุ่มต่าง ๆ รูปแบบของกิจกรรมจะชัดเจน
ซึ่งอาจกำหนดโดยผู้สูงอายุเอง หรือเจ้าหน้าที่ในองค์กรนั้น ๆ
เป็นกิจกรรมภายนอกครอบครัวซึ่งผู้สูงอายุจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
และผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กรนั้น
ๆ กิจกรรมต่าง ๆ ถูกจัดขึ้นเพื่อประโยชน์โดยตรงต่อผู้สูงอายุ
ในสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุบางแห่ง
กำหนดกิจกรรมที่ผู้สูงอายุให้ความสนใจร่วมด้วยมาก มี 6
ประเภทกิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมอาชีวบำบัด (occupation therapy) กิจกรรมนันทนาการบำบัด (recreation therapy) กิจกรรมบำบัดด้วยหนังสือ
(biblio therapy) กิจกรรมทางศาสนา (religion therapy)
กิจกรรมอาสาสมัคร (volunteering) กิจกรรมการออกกำลังกาย
(physical exercise) ในรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมอาจแตกต่างกันบ้างในแต่ละสถานสงเคราะห์หรือศูนย์บริการผู้สูงอายุที่มาร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจมีความสามารถ
ความพร้อมและการสนับสนุนที่ต่างกัน กิจกรรมที่ทำตามลำพัง หรือทำคนเดียว (solitary)
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ผู้สูงอายุสามารถทำได้ตามลำพังไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
โดยธรรมชาติบุคคลอาจจะต้องการเวลาเพื่ออยู่คนเดียวตามลำพังอย่างสงบ
และทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ พอใจอย่างเงียบ ๆ เช่น การทำงานอดิเรก การนอนพักผ่อน
เป็นต้น ผู้สูงอายุจะได้ประโยชน์ ความสุขสบาย และความเพลิดเพลิน
กล่าวโดยสรุปว่า ทฤษฎีกิจกรรมเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าผู้สูงอายุจะมีชีวิตเป็นสุขได้นั้น
ควรมีกิจกรรมทางสังคมตามสมควร หรือมีกิจกรรมตามบทบาทของตนเองที่ดำรงอยู่ เช่น
การมีงานอดิเรกทำ หรือการเป็นสมาชิกกลุ่มสมาคม
2.ทฤษฎีแยกตนเองหรือทฤษฎีการถอยห่าง (Disengagement
Theory) เป็น ทฤษฎีที่เกิดขึ้นครั้งแรกราวปี 1950 กล่าวถึงผู้สูงอายุเกี่ยวกับการถอยห่างออกจากสังคม ของ Elaine
Cummings and Willam Henry ที่พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือ Growing
old: The Process of Disengagement เมื่อปี 1961มีใจความว่าผู้สูงอายุและสังคมจะลดบทบาทซึ่งกันและกัน อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความต้องการของร่างกายและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เนื่องจากยอมรับว่าตนเองมีความสามารถลดลง
สุขภาพเสื่อมลงจึงถอยหนีจากสังคมเพื่อลดความเครียดและรักษาพลังงาน
พอใจกับการไม่เกี่ยวข้องกับสังคมต่อไป เพื่อถอนสภาพและบทบาทของตนให้แก่ชนรุ่นหลัง
ซึ่งระยะแรกอาจมีความวิตกกังวลอยู่บ้างในบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปและค่อย ๆ
ยอมรับการไม่เกี่ยวข้องกับสังคมต่อไปได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้อธิบายโดยกล่าวด้วยว่าโดยปกติแล้วบุคคลจะพยายามผสานอยู่กับสังคมให้นานเท่าที่จะทำได้
เพื่อเป็นการรักษาสมดุลย์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
ก่อนที่บทบาทของตนเองจะแคบลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น
โดยสรุปกระบวนการถอยห่างเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้
เป็นกระบวนการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ผู้สูงอายุถึงพอใจเป็นสากลของทุกสังคม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เพื่อรักษาสมดุลย์ของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการถ่อยห่างของผู้สูงอายุ ได้แก่
กระบวนการชราที่มีความแตกต่างกันของแต่ละบุคคล, สภาพสังคมและความเชื่อมโยงของอายุที่เพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีการถอยห่าง และทฤษฎีกิจกรรมจะมีความขัดแย้งกัน ซึ่ง Bernice
Neugartenและคณะได้ศึกษาเพื่อหาข้อขัดแย้งทั้งสองทฤษฎีแล้วพบว่า
การดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีกิจกรรม
ร่วมกันนั้นขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพและแบบแผนชีวิตของแต่ละบุคคลที่ผ่านมา
ผู้ที่มีบทบาทในสังคมชอบเข้าร่วมกิจกรรมในสังคม ก็ต้องการที่จะร่วมกิจกรรมต่อไป
ส่วนผู้ที่ชอบสันโดษไม่เคยมีบทบาทใด ใด ในสังคมมาก่อน
ก็ย่อมที่จะแยกตัวเองออกจากสังคมเมื่ออายุมากขึ้น
และได้เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity Theory)
3.ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity
Theory) เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นโดย Bernice Neugartenและคณะราวปี 1960
เพราะเหตุว่าทั้งทฤษฎีกิจกรรมและทฤษฎีการถอยห่างไม่เพียงพอที่จะอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมของผู้สูงอายุได้
นักทฤษฎีกลุ่มนี้เชื่อใหม่ว่า การดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จนั้น
ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพและแบบแผนชีวิตของแต่ละช่วงวัยที่ผ่านมาและมีปัจจัยอื่น ๆ
ที่เข้ามาร่วมอธิบายได้แก่ แรงจูงใจ สถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจและสังคม บุคลิกภาพ
ความยืดหยุ่น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยความสำเร็จและความล้มเหลวในชีวิตบั้นปลายของผู้สูงอายุ
4.ทฤษฎีบทบาท (Role Theory) ทฤษฎีบทบาทเป็นทฤษฎีทางสังคมวิทยาโดยมีแนวคิดว่าบทบาท
หมายถึงพฤติกรรมของบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติจริง
และพฤติกรรมที่ถูกคาดหวังจากคนอื่นตามสถานภาพหรือตำแหน่ง
แนวคิดพื้นฐานสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจทฤษฎีบทบาทมีสามประการได้แก่
-ประการแรกการมองผู้อื่น บุคคลจะมองและวิเคราะห์สิ่งเร้าตัวผู้ก่อให้เกิดสิ่งเร้าและสถานการณ์ก่อนการเลือกตอบสนองที่เหมาะสม
ซึ่งโดยปกติบุคคลจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในทันที
-ประการที่สองการมองภาพตนเอง
บุคคลเกิดความรู้สึกบางอย่างภายหลังบุคคลนั้นเกิดจินตนาการภาพตนเองเมื่อปรากฏต่อสายตาผู้อื่นและจินตนาการว่า
บุคคลอื่นจะตัดสินหรือประเมินภาพของตนอย่างไร
-ประการที่สามการแสดงพฤติกรรมตามสถานการณ์
บุคคลจะประเมินสถานการณ์และบุคคลอื่น ๆ
ในสถานการณ์ก่อนจะแสดงพฤติกรรมที่คิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์และการคาดหวังของบุคคลเหล่านั้น
จากแนวคิดพื้นฐานสามารถพิจารณาแยกแยะลักษณะบทบาทได้ดังนี้
•บทบาทตามสถานภาพของผู้สวมบทบาท
ซึ่งเป็นบทบาทที่เกิดขึ้นตามสถานภาพโดยกำเนิด
หรือสถานภาพที่ถูกกำหนดโดยสังคมส่วนใหญ่ยึดเป็นหลักเกณฑ์
•เป็นบทบาทที่เกิดขึ้นตามสถานภาพโดยการแต่งตั้ง
หรือโดยความสามารถซึ่งเป็นสถานภาพที่บุคคลได้รับมาภายหลัง
•บทบาทตามลักษณะของการแสดงบทบาท
โดยบุคคลจะกำหนดบทบาทการแสดงของตนเองและเวลาเดียวกันก็คาดหวังว่าบุคคลอื่นจะต้องแสดงบทบาทอะไร
อย่างไร
บทบาทและสถานภาพของผู้สูงอายุไทย
ในสังคมและวัฒนธรรมไทย มีสถานภาพสูงเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือ เป็นหลักชัย
เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของครอบครัว ผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน
เป็น ผู้ถ่าย ทอดวิชาความรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต
และควบคุมการใช้จ่ายต่าง ๆ
บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีกรรมทางศาสนา ปัจจุบันสังคมไทยเจริญ
ก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมาก ทำให้คนไทยรับวัฒนธรรมต่างชาติของชาวตะวันตกเข้ามา
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วไปมีความทันสมัย สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป
มีลักษณะความเป็นเมืองที่มีประกอบการด้านอุตสาหกรรม และด้านพาณิชยกรรม
ซึ่งมีผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมีบทบาทเป็นผู้นำทางศิลปะ
เป็นผู้นำในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
การเป็นผู้นำในการจัดการด้านพิธีกรรมต่าง ๆ
และการเป็นผู้นำในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาซึ่งเป็นเรื่องความสวยงาม ความรัก
ความอดทน เช่น งานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และอื่น ๆ งานเหล่านี้
เป็นงานที่ผู้สูงอายุมีความเหมาะสม และสามารถจะทำได้ในอนาคต
ผู้สูงอายุที่เป็นผู้นำทางศิลปะ อาจจะพบในเขตเมืองมากกว่าในเขตชนบท
ผู้สูงอายุมีบทบาทเป็นผู้นำด้านองค์กรสงเคราะห์ และสวัสดิการสังคม
เนื่องจากผู้สูงอายุจัดว่าเป็นคลังของทรัพยากรมนุษย์ และสังคม
เมื่อมีเวลามากขึ้นย่อมจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ
เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมในรูปขององค์กรอาสาสมัคร โดยที่ผู้สูงอายุที่มีความพร้อม
ไม่มีปัญหาในด้านการเงินย่อมมีอิสระต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในด้านสงเคราะห์
และสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุด้วยกัน หรือกลุ่มอื่น ๆ เช่น เด็กหรือเยาวชน หรือ
คนพิการ ผู้สูงอายุมีบทบาทเป็นผู้นำชุมชน เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ การให้คำแนะนำ
และเป็นที่ปรึกษาในเรื่องราวต่าง ๆ ในสังคม
นอกจากนั้นยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาในการประกอบอาชีพแก่ผู้สนใจในชุมชนและเป็นที่ปรึกษาในการจัดการงานพิธีต่าง
ๆ
5. ทฤษฎีความทันสมัย (modernization
theory) จากการศึกษาผู้สูงอายุทางสังคมและวัฒนธรรมของคาวกิลล์ (Cowgill,
1972) สนใจที่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมอันเกิดจากการเติบโตของ
อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แนวคิดเชิงทฤษฎีนี้ คาวกิลล์ได้สรุปเป็นข้อเสนอไว้ 2 ประเด็นคือ
ประเด็นหนึ่งปรากฏการณ์ทั่วไปเกี่ยวกับผู้สูงอายุในทุกสังคม
8 ประการคือ
•ผู้สูงอายุเป็นประชากรกลุ่มน้อยในประชากรทั้งหมด•ในกลุ่มประชากรสูงอายุจะมีสตรีมากกว่าบุรุษ
•สตรีหม้ายเป็นกลุ่มประชากรที่มีสัดส่วนสูงในกลุ่มผู้สูงอายุ
•ในทุกสังคม บุคคลที่ถูกจัดว่าเป็นผู้สูงอายุจะได้รับการปฏิบัติทางสังคมแตกต่างจากบุคคลอื่น
•ผู้สูงอายุมักเป็นผู้มีบทบาทในด้านการให้คำปรึกษาหรือควบคุมการดำเนินงานที่ใช้กำลังแต่น้อยแต่มักสนใจอยู่กับเรื่องกลุ่มมากกว่าการผลิตทางเศรษฐกิจ
•ในทุกสังคมผู้สูงอายุจะมีบทบาทเป็นผู้นำทางการเมืองการยุติธรรมและกิจกรรมทางด้านพลเรือนต่างๆ
•ในทุกสังคม จารีตหรือกฎศีลธรรม
เป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบร่วมกันบางประการระหว่างผู้สูงอายุและบุตรของตนซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว
•ในทุกสังคมเห็นคุณค่าของชีวิตและแสวงหามาตรการในการทำให้มีชีวิตยืนยาวแม้จะเป็นชีวิตในวัยสูงอายุก็ตาม
ประเด็นที่สองข้อเสนอที่เป็นปรากฏการณ์ที่ผันแปรระหว่างสังคมที่ต่างกัน
•ในส่วนที่เกี่ยวกับความสูงอายุและความทันสมัยนั้น
ในสังคมดั้งเดิม
บุคคลได้รับการจัดว่าเป็นผู้สูงอายุเมื่อยังมีอายุน้อยกว่าในสังคมใหม่
•การเป็นผู้สูงอายุในสังคมสมัยใหม่ถูกกำหนดโดยอายุเป็นประการสำคัญ
แต่ในสังคมดั้งเดิมและสังคมแบบอื่น ๆ ถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญอื่น เช่น การเป็น ปู่
ย่า ตา ยาย เป็นต้น
•การมีชีวิตยืนยาวมีความสัมพันธ์โดยตรงและอย่างมีนัยสำคัญกับระดับของภาวะทันสมัย
•สังคมทันสมัย
จะมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่าสังคมแบบอื่น ๆ
•สังคมทันสมัยมีสัดส่วนประชากรสตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีหม้ายสูงกว่าสังคมแบบอื่น
•สังคมทันสมัยมีสัดส่วนของประชากรผู้เป็น
ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ทวด มากกว่าสังคมแบบอื่น ๆ
•ผู้สูงอายุมีสถานภาพสูงในสังคมดั้งเดิม
แต่มีสถานภาพต่ำกว่าและไม่แน่ชัดในสังคมสมัยใหม่
•ในสังคมดั้งเดิม
ผู้สูงอายุมักจะดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ
แต่ในสังคมสมัยใหม่ผู้สูงอายุส่วนน้อยที่ได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
•ในสังคมที่ให้การเคารพนับถือ
หรือบูชาบรรพบุรุษ ผู้สูงอายุจะมีสถานภาพสูง
•เมื่อมีประชากรสูงอายุเป็นสัดส่วนน้อยของประชากร
ผู้สูงอายุจะมีสถานภาพสูง และสถานภาพจะลดต่ำลง เมื่อจำนวนและสัดส่วนเพิ่มขึ้น
•เมื่อสังคมมีอัตราการเปลี่ยนแปลงสูง
สถานภาพทางสังคมของผู้สูงอายุ จะลดถอยลงในอัตราสูงด้วยเช่นกัน
•ความมีเสถียรภาพในที่อยู่อาศัยทำให้ผู้สูงอายุมีสถานภาพสูง
แต่การไม่มีเสถียรภาพในที่อยู่อาศัย หรือการย้ายถิ่นมักจะทำให้สถานภาพลดต่ำลง
•ในสังคมเกษตรกรรม
ผู้สูงอายุมีสถานภาพสูงกว่าในสังคมเมือง
•ในสังคมที่ไม่รู้หนังสือผู้สูงอายุมักมีสถานภาพสูง
แต่เมื่อระดับการรับรู้หนังสือในสังคมทวีสูงขึ้น
สถานภาพของผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มลดต่ำลง
•ในสังคมซึ่งผู้สูงอายุสามารถทำหน้าที่ต่าง
ๆ ที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อสังคม ผู้สูงอายุมักจะมีสถานภาพสูง แต่อย่างไรก็ดี
ข้อสรุปดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับระบบค่านิยมของสังคมและกิจกรรมของผู้สูงอายุ
•การเกษียณอายุการทำงานเป็นปรากฏการณ์สมัยใหม่
และส่วนใหญ่พบในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งมีภาวะการผลิตสูง
•ผู้สูงอายุมีสถานภาพสูงในสังคมซึ่งมีครอบครัวแบบขยายและมีแนวโน้มที่จะมีสถานภาพต่ำลงในสังคมซึ่งมีครอบครัวเดี่ยว
และมีการแต่งงานแยกไปตั้งครอบครัวใหม่
•เมื่อสังคมทันสมัยขึ้น
ความรับผิดชอบในการจัดบริการด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ผู้สูงอายุ
ซึ่งมีความต้องการพึ่งพิงบริการดังกล่าว
จะเปลี่ยนแปลงจากหน้าที่ของครอบครัวมาเป็นภาระหน้าที่ของรัฐ
•ความทันสมัยของสังคมทำให้ผู้สูงอายุสามารถรักษาสภาพการเป็นผู้นำของตนได้น้อยลง
•ในสังคมแบบดั้งเดิม
บทบาทของสตรีหม้ายมักเป็นบทบาทสืบทอดกันมาอย่างชัดเจน แต่เมื่อสังคมทันสมัยขึ้น
บทบาทเช่นนั้นจะมีความชัดเจนน้อยลง
ดังนั้นบทบาทของสตรีหม้ายในสังคมสมัยใหม่จึงมักยืดหยุ่นและไม่ชัดเจน
•ระบบค่านิยมแบบปัจเจกชนนิยมตามแบบแผนของสังคมตะวันตกมักจะทำให้สถานภาพและเสถียรภาพของผู้สูงอายุลดน้อยลง
•ในสังคมโบราณ หรือสังคมเกษตรกรรม
การแยกตัวอยู่ตามลำพัง มิใช่ลักษณะสำคัญของผู้สูงอายุ
แต่เมื่อสังคมมีระดับของการเป็นสังคมทันสมัยสูงขึ้น
การแยกตัวอยู่ตามลำพังของผู้สูงอายุมักจะปรากฏสูงขึ้น
6.ทฤษฎีการแยกตนเอง (disengagement
theory)ทฤษฎีนี้ปรากฏครั้งแรกในหนังสือชื่อ “growing old” ของ Elaine Cumming และ William Henry ในปี ค.ศ. 1961 ซึ่งกล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา
และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้สูงอายุจะต้องลดกิจกรรมของตนเองและบทบาททางสังคม
เมื่อตนเข้าสู่วัยสูงอายุ ผู้สูงอายุพยายามจะหลีกเลี่ยงหนีความกดดัน
และความตึงเครียดโดยการถอนตัว (withdrawal) ออกจากสังคม
ซึ่งเป็นผลจากการรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถลดลง นอกจากนี้
นักทฤษฎีการแยกตนเองเชื่อว่า
การที่ผู้สูงอายุไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและบทบาททางสังคมนั้น
เป็นการถอนสถานภาพและบทบาทของตนเอง
ให้แก่หนุ่มสาวหรือคนที่จะมีบทบาทหน้าที่ได้ดีกว่า ทั้งนี้เพราะความต้องการสูงสุดของสังคม
คือต้องการทักษะและแรงงานใหม่มากกว่าการได้จากผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 70
ปี ขึ้นไป จะคุ้นเคยต่อการไม่เกี่ยวข้องกับสังคม
หลังจากที่รู้สึกกระวนกระวาย วิตกกังวลและมีความบีบคั้นในช่วงต้น ๆ
ในที่สุดผู้สูงอายุจะยอมรับสภาพใหม่คือการไม่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจภาพสังคมผู้สูงอายุไทยในอนาคต
ผู้เขียนได้บอกถึงความหมายเกี่ยวกับผู้สูงอายุทำไมจึงเกิดสังคมผู้สูงอายุ
ผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยการบริการและสวัสดิการผู้สูงอายุพร้อมทั้งนำแนวคิดทฤษฎีทางสังคมศาสตร์หรือสังคมวิทยามาเชื่อมโยงกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุการทำความเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสูงอายุเป็นการศึกษาและทบทวนถึงแนวคิดกรอบทางความคิดเพื่อให้เกิดการชี้นำไปสู่การดูแลสุขภาพการปฏิบัติการช่วยเหลือการสนับสนุนให้กำลังเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวเองให้ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ความสามารถและข้อจำกัดของผู้สูงอายุจะช่วยให้ผู้ดูแลและครอบครัวตลอดจนการจัดบริการสุขภาพสวัสดิภาพและความเสมอภาคในสังคมต่อผู้สูงอายุได้อย่างครอบคลุมทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านชีวภาพจิตใจ
สังคมและบุคลิกภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะของวัยนี้ที่แตกต่างจากวัยอื่นอันเป็นช่องว่างระหว่างวัย
ดังนั้นการประยุกต์ใช้หลักการในแต่ละทฤษฎีที่ว่าด้วยความสูงอายุจะเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการวางแผนส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพของผู้สูงอายุให้เหมาะสมต่อไปเพราะการแสดงออกถึงความอบอุ่นและความยกย่องผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาทางด้านจิตใจทั้งยังก่อให้เกิดความมั่นใจและความรู้สึกต่อคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุในฐานะเป็นบุคคลๆหนึ่งสอดคล้องตามแนวทางการส่งเสริมสุขภาพจิตสุขภาพกายและการอยู่ร่วมกันของประชากรผู้สูงอายุกับบุคคลในวัยที่แตกต่างในสังคมได้อย่างมีความสุข
บรรณานุกรม
สุรเดช สำราญจิตต์. (2550,
หน้า 32-34). วิถีชีวิตของผู้สูงอายุเขตเมืองภาคกลางในประเทศไทย,
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สังคมวิทยา), มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ, 2545, หน้า 88-97
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น