วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาค่านิยมทางวัตถุของสังคมไทยในปัจจุบัน นาย ชนาธิป นิธิวรรณกุล(53241806)


           เรื่อง ค่านิยมทางวัตถุของสังคมไทยในปัจจุบัน


           
           นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงล้ำหน้าไปหลายด้าน มีการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามามากเกินไป จนลืมไปว่าวัฒนธรรมของตัวเองเป็นอย่างไร ลูกหลานเคยรู้หรือเปล่าว่าขนบธรรมเนียม ประเพณีของตนเป็นอย่างไร แล้วผู้ใหญ่ได้เคยบอกเล่าให้ฟังบ้างไหม ค่านิยมของสังคมไทยในอดีตส่วนใหญ่ยึดมั่นปฏิบัติตามบรรพบุรุษ พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เชื่อกฎแห่งกรรม เคารพผู้อาวุโส มีชีวิตความเป็นอยู่กับธรรมชาติ ยิ่งพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นเท่าไร ความเจริญของวัตถุมีมากเท่าไร แต่ถ้าสภาพจิตใจของมนุษย์ยังเสื่อมลงอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้สังคมไทยของเราพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุอย่างรวดเร็ว ค่านิยมของสังคมไทยแสดงถึงความเสื่อมของจิตใจอย่างเห็นได้ชัด 

           โลกยุคนี้คือโลกยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) หรือโลกไร้พรมแดน ทำให้กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น เสมือน ว่าน้ำ ป่าที่ล้นเอ่อยามที่ฝนตกชุกจนฉ่ำผืนดิน ยากที่จะต้านกระแสนั้นไว้ได้ เพราะเป็นภัยที่เกิดจากธรรมชาติ หากมองมาทางด้านวัฒนธรรมอันดีงามของไทยที่มีมาแต่โบราณนั้น ผลกระทบของกระแสวัฒนธรรมตะวันตกมีผลต่อการพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันเป็นอันมาก  วัฒนธรรมเหมายถึงเครื่องหมายของความเจริญ วัฒนธรรมมีลักษะของการไหลบ่าเช่นเดียวกับน้ำที่พยายามปรับความสมดุลให้อยู่ในระนาบเดียวกัน  โดยพื้นฐานของมนุษย์ที่รักความสะดวกสบาย เช่น การเดินทางที่รวดเร็ว  การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว เป็นต้นฯ

           แต่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เปรียบเสมือนมีดที่มี  2 คม มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์ อยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะใช้มันอย่างไร และเข้าใจถึงคุณค่าแท้ของสิ่งต่าง ๆว่ามีไว้เพื่ออะไร เป็นประโยชน์อย่างไร
           วัฒนธรรม มี 2 ลักษณะ คือวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ และวัฒนธรรมที่มิใช่วัตถุ
วัฒนธรรม ที่เป็นวัตถุ  เช่น อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  ยานพาหนะ  เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ  เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น  การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนหนึ่งเพื่อสนองตอบความต้องการของมนุษย์  และการค้าขาย   ในส่วนนี้จะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการบริโภค และค่านิยม 



ส่วน วัฒนธรรมที่มิใช่วัตถุ  เป็นส่วนที่เกี่ยวกับความรู้ ปรัชญา  และจิตวิทยา  ซึ่งส่วนนี้ดูเหมือนว่าทางตะวันออก จะเป็นภูมิภาคที่มีความเจริญมาก่อนอย่างช้านาน จึงเป็นส่วนที่ค่อนข้างจะนิ่งหรือไม่มีการถ่ายเทจากทางซีกโลกตะวันตกมากนัก ยกเว้นค่านิยมที่จะผันแปรไปตามอิทธิพลของวัฒนธรรมด้านวัตถุ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมาก  ต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนทางซีกโลกตะวันออกคือในส่วนของวัฒนธรรมทางด้านวัตถุ หรือเทคโนโลยี  ซึ่งก็จะแอบแฝงความไม่ดีเข้ามา  อย่างที่บอกว่าเปรียบเสมือนมีดที่มี 2 คม หรือเหรียญที่มี 2 ด้าน ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ     มีรากเง้าของวัฒนธรรมมาจากศาสนาพุทธ เป็นสังคมที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่โดดเด่น และแสดงออกถึงความเจริญทางด้านจิตใจ  เช่น  มีเมตตากรุณา  ให้อภัย  เอื้อเฟื้อ  ช่วยเหลือ  การเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าโดยการนับญาติเป็นลุง ป้า  น้า อา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  เป็นต้นฯ 
 

           ทำให้อยู่กันอย่างพี่น้อง  มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน  ดังคำพระที่ว่ามีเพื่อนบ้านที่ดีดีกว่ามีรั้วบ้านที่ล้อมหนาม ไม่ต้องสร้างกำแพงเพื่อป้องกันโจร ขโมย  แต่ล้อมรั้วด้วยคนหมายถึงเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจคอยดูแลซึ่งกันและกัน  เป็นหูเป็นตาให้กัน ก็ เท่ากับว่าบ้านถึงแม้ไม่มีรั้วก็เหมือนมีรั้ว  หรือประเพณีลงแขก  ที่ชาวบ้านเอาแรงกัน  คือต่างคนต่างช่วยกัน  บ้านนี้ดำนา  เกี่ยวข้าว
ปลูกบ้านใหม่ก็ไปช่วยกัน  พอถึงทีบ้านเราทุกคนก็มาช่วยกัน  จึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ดีงามมาแต่โบราณ เมื่อกระแสวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางด้านวัตถุหรือเทคโนโลยี เข้ามาสู่ประเทศไทย  หรือประเทศอื่น ๆ

 


           ในยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization)   หรือโลกไร้พรมแดน ทำให้กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้นนั้น ก็ คือโลกที่ไม่อาจต้านทานกระแสวัฒนธรรมจากต่างชาติได้  สิ่งที่เป็นช่องทาง หรือเป็นลำธารให้กระแสวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก็คือความเจริญทางด้านการสื่อสารนั่นเอง  บางทีเราก็เรียกโลกยุคนี้ว่า เป็นยุดของการสื่อสาร
การสื่อสารนั้นโดยนัยสำคัญแล้วหมายถึงการสื่อสิ่งที่เป็นสาระ แต่เราไม่อาจกลั่นกรองเอาเฉพาะสาระตามความหมายนั้นได้ เพราะสิ่งที่แอบแฝงเข้ามาพร้อมกับสาระนั้นคือการโฆษณามอมเมาในเชิงธุรกิจ  พยายามสร้างกระแสความนิยมในสินค้าด้วยการโฆษนาชวนเชื่อ จนกลายเป็นความนิยมเช่น ธุรกิจการโฆษณาขายอาหารเสริมบ้าง กาแฟที่ดื่มแล้วทำให้เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายบ้างหรือธาตุอาหารที่สกัดจากพืชสมุนไพรต่าง ๆ นานา ที่ทานแล้วหรือดื่มแล้วทำให้ร่างกายปลอดจากสารพิษต่าง ๆ บ้าง เป็นต้น ฯ



ตลอด ถึงครีมต่าง ๆ ที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream) น้ำหอมดัง ๆ จากยุโรปหรือฝรั่งเศส (เศษฝรั่ง) แฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายต่างๆ ทำให้คนในสังคมมีค่านิยมรักสวยรักงาม มากกว่าที่จะดูกันที่คุณสมบัติภายใน ความดี กิริยามารยาท หน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ   
ด้วยกระแสบริโภคนิยม และการวัดค่าของคนจากวัตถุของสังคมไทยในยุคปัจจุบันนี้ คงไม่แปลกที่สินค้ามียี่ห้อ ราคาแพง และได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ ที่รู้จักกันในนามสินค้า แบรนด์เนมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรืออุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างโทรศัพท์มือถือนั้น จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของใครหลายๆ คน มากกว่าการเป็นสิ่งของเครื่องใช้ หากยังเป็นเครื่องวัดความมั่งมี วัดความดีงาม ความน่าเคารพ สรรเสริญของคนในสังคม สิ่งนี้ถือเป็นวิกฤติทางจิตใจ ที่ต้องเร่งระงับและให้การแก้ไขโดยด่วน
นั่นเพราะทุกวันนี้ คนในสังคมต่างยึดติดอยู่กับค่านิยมทางวัตถุ มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่คนดีไม่มีบทบาท ขาดโอกาสทำประโยชน์เพื่อสังคม เลือกมองคนจากวัตถุมากกว่าจิตใจ จึงเป็นเหตุให้หลายๆ คนที่ขาดสติความยั้งคิด เลือกเดินตามทางผิด ดิ้นรนแสวงหาข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง เพียงเพื่อความภาคภูมิใจในการได้ครอบครอง ได้โอ้อวด โดยไม่เลือกวิธีการในการแสวงหาสิ่งเหล่านั้น ดังที่เป็นข่าวออกสื่อกันได้แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาสาวขายบริการทางเพศ การฉกชิงวิ่งราวจนบานปลายถึงขั้นการปล้นธนาคาร ส่วนในครอบครัวที่มีฐานะ การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับข้าวของที่เรียกได้ว่าไม่ได้มีความจำเป็นต่อปัจจัยในการดำรงชีวิตเหล่านี้ จะยิ่งพอกพูนนิสัยแห่งความฟุ่มเฟือยใช้เงินแลกความสุข จากการได้เดินชอปปิงและมีของใช้ราคาแพงไว้โอ้อวดซึ่งกันและกัน ใครที่ไม่มีเมื่อเห็นคนอื่นมี แล้วหลงคิดไปว่าการมีบ้างถือเป็นสิ่งที่ดี ก็จะเป็นทุกข์ เป็นร้อน และเข้าสู่วังวนแห่งการกระทำความผิดเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่เรียกกันว่า แบรนด์เนม ที่สมมติกันไปว่าเป็นของมีค่า เป็นเครื่องตีตราความดีงามของคนในสังคมได้
วัตถุนิยม เป็นค่านิยมที่มีมานานดูเหมือนจะอยู่คู่สังคมไทยทีเดียว เราให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าทางด้านจิตใจ มีบทความของบุคคลหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถูกเพื่อนคนหนึ่งที่ลาออกจากราชกาลมาทำงานระบบขายตรง หลอกให้เป็นสมาชิกด้วยวิธีการต่าง ๆ เสียทั้งเวลาและเงินทอง ซึ่งยังไม่แย่เท่ากับเสียความรู้สึก คนที่ถูกหลอกนั้นอยู่ในระหว่างตกงาน ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เห็นเพื่อนลาออกจากราชการคิดว่าคงลำบาก ก็อยากช่วยอยู่แล้ว แต่เพื่อนไม่มาขอให้ช่วยดี ๆ กลับหลอกลวงด้วยกลวิธีต่าง ๆ คนที่ถูกหลอกก็ไว้ใจ คิดว่าเป็นเพื่อนจึงหลงเชื่อ กว่าจะมารู้ว่าเพื่อนที่มาหลอก ไม่ได้ลำบากยากเข็ญอะไร แต่มีเป้าหมายจะเอาเงินไปซื้อรถเบนซ์ ขณะที่คนถูกหลอกยังขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ และตกงาน แต่จิตใจที่อยากช่วยเหลือเพื่อน เพราะได้ข่าวว่าเพื่อนผู้หลอกลวงนั้น เคยป่วยเป็นมะเร็งระยะแรก แต่รักษาหายแล้ว เคยเห็นผู้ป่วยเป็นมะเร็งมากมาย ที่พอชีวิตใกล้ความตายกลับละ ลด เลิก กิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลงได้มาก ปลงอะไรได้หลายอย่าง ใช้ชีวิตสมถะมากขึ้น แต่คนเคยป่วยเป็นมะเร็งคนนี้ กินอาหารชนิดท้าทายมะเร็ง และมีเป้าหมายในชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานทางวัตถุ โดยไม่ใส่ใจความเจริญงอกงามในจิตใจ เมื่อ พูดถึงรถยนต์ก็อยากเล่าประสบการณ์ที่ขับรถยุโรปคันใหญ่ เวลาไปงานโรงแรม เจ้าหน้าที่โรงแรมจะวิ่งมาโบกรถให้ไปจอดทางขึ้น-ลงของโรงแรมซึ่งสะดวกมาก แต่พอลงจากรถต้องไม่ลืมทิปอย่างต่ำก็ 50 บาท ถ้าวันไหนขับรถญี่ปุ่นคันเล็กไป เพราะคล่องตัวและสะดวก จะถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ไล่ไปจอดใต้ถุนโรงแรม ซึ่งถ้าวันไหนโรงแรมมีงานใหญ่ ก็ต้องวนหาที่จอดรถจนเหนื่อย ตอนขับรถเข้า-ออกหมู่บ้านหรือที่ทำงานก็เช่นกัน วันไหนขับรถยุโรปไป จะได้รับการทำความเคารพจาก  รปภ. อย่างสวยงาม ถ้าวันไหนขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ ไป จะไม่มี รปภ. คนไหนทำความเคารพ แปลว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ทำความเคารพราคาของรถยนต์ มิใช่เจ้าของรถยนต์ผู้เป็นผู้จ่ายค่าจ้าง รปภ.

พวกวัตถุนิยมจึงมักตัดสินคนที่เปลือกนอก มีบ่อยครั้งที่คนไม่ได้สนใจเปลือก ต้องถูกพวกนิยมเปลือกดูแคลนและทำกิริยาวาจาหยาบใส่ อย่างที่คุณกนกพรรณ เหตระกูล เจ้าของกิจการนมเปรี้ยวยี่ห้อดังเคยเจอ โดยปกติคุณกนกพรรณ เธอใส่เครื่องแบบสาวยาคูลท์เป็นประจำจนชิน ลืมไปว่าคนบางคนเขาให้ราคากันที่ เปลือก จนวันหนึ่งเธอสวมเครื่องแบบนั้นเข้าห้างสรรพสินค้าดังกลางเมืองหลวง ตั้งใจจะไปซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อโปรดที่เคยใช้ประจำ จึงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ แต่ไม่พบพนักงานขายที่เคยรู้จัก เอ่ยปากถามพนักงานขายที่ประจำการแทนว่า "น้องค่ะ น้องอีกคนไม่มาหรือค่ะ" คุณน้องไม่ตอบ แต่กวาดสายตาไปที่คนถามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วถามกลับว่า "มีธุระอะไรกับเขาล่ะ" ได้ยินน้ำเสียง ผสมกับสายตาขนาดนั้น คุณกนกพรรณเธอก็เลยหันกลับ คงคิดได้ว่า ไม่ควรเอาทองไปลู่กระเบื้อง ให้เสียราคาทอง
นอกจากตัดสินคนที่เปลือกนอกแล้วยังมักตื่นคนรวย เรียกว่าใครมีเงินนับน้อง ใครมีทองนับพี่ เอาอกเอาใจ รับใช้อย่างดี โดยไม่คำนึงว่าเงินทองที่เข้ามีนั้น ได้มาโดยสุจริตหรือไม่ เห็นดีเห็นงามไปในทุกเรื่อง แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม แต่อำนาจเงินบังตา ปิดปาก ยกยอปอปั้น สรรเสริญ เจริญพร จนคนที่มีเงินลอยโลดเตลิดหลง คิดว่าอำนาจเงินนั้นซื้อได้ทุกอย่างทุกคน เพราะตัวอย่างใกล้ตัวยืนยันให้คิดได้อย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าเงินไม่สามารถซื้ออะไรทุกอย่าง ก็คงต้องหมดตัวเสียก่อน จึงจะเรียนรู้ว่า ความจงรักภักดี นั้นซื้อไม่ได้
พวกฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย นิยมสินค้า Brand Name อาจจะเป็นเพราะวัตถุนิยม จึงมีค่านิยมว่าต้องใช้ของมียี่ห้อหรือมีตราดังระดับโลก จึงจะโก้เก๋มีระดับเข้าสังคมได้ เนคไทผู้ชายผืนเล็กนิดเดียวราคาเส้นละ 12,000 บาท เข็มขัดตราสัญลักษณ์สินค้านั้น ราคาเส้นละ 18,500 บาท ผู้หญิงไม่ยอมน้อยหน้ากระเป๋าผ้าใบฝรั่งเศส ราคาใบละ 37,900 บาท รองเท้าราคาคู่ละ 24,800 บาท นี่ไม่ใช่ราคาสูงสุดแต่เป็นราคาระดับกลาง ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าชาวนาต้องทำนากี่ไร่ ใช้เวลากี่เดือน จึงจะแลกกระเป๋าได้สักใบ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราเป็นประเทศยากจน ไม่ได้ค้าน้ำมันได้เหมือนบ้านเมืองอื่น แต่คนของบ้านเราใช้สินค้าราคาแพงเกินตัวและฐานะ สร้างค่านิยมที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ วัยรุ่นบ้านเรานิยมลัทธิเอาอย่าง ชอบเลียนแบบอยู่แล้ว ในครอบครัวฐานะดี พ่อแม่มีเงินให้ได้ก็ยังพอทำเนา แต่ในรายที่ครอบครัวเป็นคนชั้นกลาง หรือมีฐานะยากจน พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อของมาให้ แต่ลูกอยากเทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง ก็ต้องหาเงินเอกด้วยวิธีขายตัว ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และพรหมจารีเป็นสิ่งไร้ค่า ถ้าเทียบกับสินค้าราคาแพงเหล่านั้น บางคนถึงไม่ซื้อก็ไปเช่าสินค้าเหล่านั้นมาใช้เป็นรายชั่วโมง



ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งจะมีการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ในเรื่องของข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นหรือซื้อของราคาแพง เช่น มีของใช้ที่มียี่ห้อราคาแพงๆ มีเครื่องประดับในตัวมากมาย แล้วในที่สุดก็จะเบื่อง่าย ไม่รักษาข้าวของ ไม่ได้เห็นคุณค่าของของที่ซื้อมา ไม่ดูแลทะนุถนอมเมื่อของเสียหรือหายก็ซื้อใหม่และไม่สามารถที่จะมีความยั้ง คิดหรือจัดการกับเรื่องการใช้เงินได้ ในเด็กเล็กอาจจะเห็นลักษณะอย่างนี้บ้าง แต่ไม่มากนักเนื่องจากว่าสิ่งที่เด็กสนใจราคายังไม่สูงมาก แต่ในเด็กวัยรุ่นของที่เด็กชอบหรือที่เด็กนิยมมักจะมีราคาแพงมาก
การที่เด็กมีค่านิยมเช่นนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวเด็กเองและปัญหาทางสังคมตามมา ปัญหาที่ทำให้เด็กมีค่านิยมทางวัตถุนั้น พบว่าส่วนหนึ่งเห็นแบบอย่างมาจากพ่อและแม่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ฐานะดี พ่อแม่มักจะเป็นคนที่ติดยี่ห้อหรือนิยมในสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ และแสดงลักษณะอย่างนี้ให้เด็กได้เห็นได้เลียนแบบ
ในจุดนี้พ่อแม่ควรจะต้องทบทวนตัวเองว่าได้เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการ ใช้จ่ายเพียงไรให้กับเด็กๆ แม้พ่อแม่จะอยู่ในฐานะซื้อของราคาแพงได้ แต่ความสามารถยับยั้งชั่งใจในเด็กยังมีน้อย เด็กจะใช้เงินมากเกินกว่าที่พ่อแม่ให้ อาจส่งผลให้เด็กต้องหาทางหาเงินด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง
ประการที่สองพ่อแม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเราให้สิ่งของต่างๆ กับลูกมากจนเกินจำเป็น บางครั้งเป็นไปตามค่านิยมทางสังคม เช่น อุปกรณ์ในการสื่อสาร ความจริงแล้วในเด็กในวัยขนาดนี้อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นจริงจังที่จะต้องมี อุปกรณ์ติดตามตัวมากขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้อยหน้าคนอื่นหรือตามกระแสที่ใครๆ ก็มีกัน ก็หาให้ลูกมากจนกระทั่งลูกไม่รู้คุณค่าของสิ่งของที่ได้มา เพราะถ้าอยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้นโดยง่าย เพราะฉะนั้นค่านิยมเหล่านี้จะปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็ก
ในเรื่องของการใช้จ่ายเงินควรฝึกให้เด็กได้รู้ว่าถ้าอยากได้เงินพิเศษเขาก็ จะต้องทำงานหรือเขาจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ต้องใช้ความมุมานะและความพยายาม มิใช่ได้มาโดยง่าย และควรปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในเรื่องการเลือกซื้อสิ่งของโดยเน้นที่ คุณภาพของสิ่งของมากกว่าเป็นการซื้อตามใจตัวเอง หรือซื้อตามความนิยม นอกจากนี้พ่อแม่ต้องมีความสามารถในการที่จะขัดใจลูกได้อย่างเหมาะสม ไม่ตามใจลูกในทุกเรื่อง
การฝึกปฏิเสธลูกตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กให้เด็กได้เรียนรู้ว่าหากเขาต้องการ อะไรที่ไม่สมควรหรือไม่ควรจะได้ก็จะได้รับการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง แต่มีเหตุผล เช่น แสดงอาการเข้าใจหรือเห็นใจว่าเขาต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลว่าพ่อแม่ไม่สามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กตาม ใจชอบได้ตลอดเวลา
ประการสำคัญควรปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้คุณค่าทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้าน วัตถุ ครอบครัวควรจะเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้กับเด็ก พบว่าเด็กที่ต้องการใช้เงินส่วนหนึ่งแล้วเป็นเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีความกลัวว่าจะน้อยหน้าเพื่อนหรือด้อยค่ากว่าคนอื่นจึงต้องมีเครื่องประดับ ที่มีราคาแพง ความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กนั้นเกิดจากการที่พ่อแม่สามารถยอมรับอย่างที่ ลูกเป็น เห็นคุณค่าและความสามารถของลูก ไม่เปรียบเทียบตัวเด็กกับคนอื่นๆ ให้เขารู้สึกด้อยค่าในตัวเอง ในขณะเดียวกันเมื่อเขามีศักยภาพหรือความสามารถบางอย่าง พ่อแม่ก็ให้การยอมรับ บางคนอาจจะไม่มีความถนัดหรือความสามารถทางการเรียน แต่เขาอาจจะมีความถนัดหรือความสามารถที่เป็นข้อดีของตัวเด็กเองในด้านอื่นๆ
ถ้าหากคุณให้คุณค่ากับสิ่งที่ลูกมีและสิ่งที่ลูกเป็น เขาก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวของเขาเองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องประดับเหล่านี้ ความภาคภูมิใจในตัวเองนั้นยังเกิดในครอบครัวที่มีความอบอุ่น มีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีคนที่รักและเข้าใจเด็ก นอกจากความภาคภูมิใจในตัวเองจะช่วยเด็กในเรื่องของค่านิยมในเชิงวัตถุนิยม แล้วก็ยังจะช่วยทำให้เด็กเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงาม มีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อผู้อื่นก็จะทำให้เขาสามารถมีเพื่อนหรือ อยู่ในสังคมที่เป็นกลุ่มเพื่อนได้ ไม่ต้องใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเพื่อให้เพื่อนยอมรับ
ประการสุดท้ายสอนให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัว ไม่ใช่มีความรู้สึกว่าครอบครัวตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และให้เด็กรู้ว่าไม่ว่าฐานะครอบครัวจะเป็นอย่างไรแต่ทุกคนในครอบครัวก็รัก เด็ก และถ้าเด็กมีเหตุผลในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทอง เป็นการช่วยเหลือครอบครัวอีกทางหนึ่ง ให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกอายหรือรู้สึกด้อยกับเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ
การได้รับการฝึกฝนในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทองอย่างเหมาะสมกับฐานะครอบครัว จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กจัดการรับผิดชอบกับเรื่องของตัวเอง ดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินในแต่ละช่วงของตัวเองได้เป็นอย่างดี
เด็กๆ ควรมีโอกาสใช้เงินให้เหมาะกับวัยของเขา เมื่อถึงวัยหนึ่ง เขาควรจะถือเงินด้วยตัวของเขาเอง อาจจะใช้ในการซื้อของบางอย่างให้กับตัวเองได้บ้าง หรืออาจจะเป็นการใช้จ่ายประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของการไปโรงเรียน การคำนวณค่าใช้จ่ายของลูกก็เป็นเรื่องสำคัญ การให้เงินก็ไม่ควรจะมากหรือน้อยจนเกินไป ถ้าน้อยจนเกินไปจนเด็กไม่สามารถที่จะใช้จ่ายได้เพียงพอก็เป็นความเครียดกับ เด็กเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันถ้าให้เงินมากจนเกินไป โดยไม่ได้ฝึกค่านิยมเรื่องการอดออมเงิน การเก็บสะสมเงิน เด็กก็อาจจะใช้เงินไปอย่างไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม
การฝึกใช้เงินควรจะจำแนกให้เด็กเห็นว่ามีบางอย่างเป็นความจำเป็นที่จะต้อง ใช้ในแต่ละวัน เช่นค่าอาหาร ค่าเดินทางไปโรงเรียน เขาอาจจะมีเงินเหลือเก็บอีกเล็กน้อย อดออมเอาไว้ใช้ในเวลาที่เขาต้องการ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเด็กโตขึ้นมีอายุมากพอที่จะเลือกซื้อข้าวของบางอย่าง ของตัวเองได้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าหรือของใช้ก็อาจจะให้เงินรวมไปในค่าใช้จ่ายในแต่ ละอาทิตย์หรือในแต่ละเดือน ที่มากพอที่เด็กจะเก็บสะสมในการซื้อของบางอย่างของตัวเองด้วย
การฝึกเรื่องการใช้เงินให้มีความรับผิดชอบต่อจำนวนเงินที่ตัวเองได้รับจะ เกิดขึ้นได้ดี ถ้าหากฝึกในเรื่องความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆ ไปด้วย เช่น การดูแลตัวเอง การรับผิดชอบกับงาน หรือมีความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆ
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงร่วมกันในเรื่องค่านิยมแบบวัตถุนิยม คือ กระแสและสื่อในสังคมมีผลโดยตรงต่อค่านิยมในวัยรุ่น การสร้างแรงจูงใจด้วยสื่อที่เน้นความทันสมัยด้วยความฟุ่มเฟือย ค่านิยมที่แสดงความสำเร็จจากการมีเงินทองเครื่องประดับในตัวมากกว่าการ ตั้งใจทำงานและคุณค่าในตัวของคน จะทำให้ครอบครัวและเด็กวัยรุ่นต้องมีความยืนหยัดที่จะต้านทานกระแสเหล่านี้ แต่ครอบครัวยังคงเป็นภูมิคุ้มกันเด็กจากกระแสเหล่านี้ หากพ่อแม่เข้าใจและสามารถพูดคุยกับลูกวัยรุ่นได้ และได้ดูแลลูกในเรื่องการใช้เงิน
พฤติกรรมการบริโภควัตถุนิยม (สินค้าฟุ่มเฟือย) ได้ฝังรากลึกลงในวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทย เสมือนหนึ่งเป็นปัจจัยที่ห้า ถ้าใครไม่ใช้ก็ถือว่าตกยุค ไม่ทันสมัย ซึ่งรูปแบบรูปทรงของสินค้าที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้สร้างความพึงพอใจอย่างสูงสุด โดยสามารถแตะต้องสัมผัสได้ถึงความมีตัวตน มีสีสัน โฉบเฉี่ยวดูทันสมัย บ่งบอกถึงรสนิยมที่หรูหรา ชีวิตที่ภูมิฐาน และสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้เป็นเจ้าของได้อย่างลงตัว จนไม่อาจจะปฏิเสธว่าไม่มีความต้องการจะบริโภคสินค้านั้น ทั้งกลุ่มคนที่มีอำนาจซื้อ และไม่มี ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงเจริญเติบโตอยู่บนพื้นฐานความอ่อนแอทางจิตใจของคนไทยผู้บริโภค
เมื่อความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของคนไทย ซึ่งก็คืออุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) ได้รับการตอบสนองจากอุปทาน (ความต้องการขาย) ที่ต้องการกำไรสูงสุด ก็ก่อให้เกิดดุลยภาพของตลาดคนไทย ผู้ซื้อก็กลายเป็นทศกัณฑ์ทำงานกันตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินมาซื้อสินค้าตอบสนองความต้องการของตน
สำหรับชาวต่างชาติผู้ขายที่เป็นเจ้าของสินค้า ก็มีแต่รวยกับรวย ยิ่งซื้อมากเท่าไรก็ยิ่งรวยมากขึ้นเท่านั้น ในภาพรวมประเทศไทยก็มีแต่ยากจนลง ที่กล่าวเช่นนี้ มิได้ห้ามไม่ให้ซื้อ แต่ควรใช้วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจ เพื่อความพอเหมาะพอดีกับฐานะของตน ครอบครัว และประเทศ พึงตระหนักว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศมั่งคั่งร่ำรวยที่จะใช้จ่ายเงินได้ตามใจชอบ
เหตุผลสำคัญ คือ 1) ขาดแคลนเงินออมเพื่อการลงทุน 2) ภาระหนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลและเอกชน ต้องชำระคืน และ 3) ความต้องการใช้เงินตราต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ
ถ้าอย่างนั้นการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคอย่างไรจึงจะส่งผลดีต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งใน
ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
          1.กลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อสูง (กลุ่มมั่งคั่งร่ำรวย) ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างดังนี้นาย ก.ประกอบธุรกิจส่งออกสินค้าชนิดหนึ่ง มีผลกำไร 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วนาย ก.ตัดสินใจสั่งนำเข้ารถยนต์คันละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย ก.มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะซื้อรถยนต์คันนี้ได้ เพราะไม่กระทบต่อฐานะของตน
แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ การใช้จ่ายเงินของนาย ก.กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวม และทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ นาย ก.ควรชะลอการใช้จ่ายเงินไว้ก่อน โดยการนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ธนาคารจะได้นำเงินฝากของนาย ก.ไปปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลและเอกชนเพื่อให้เงินเกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนมือภายในประเทศ
หากนาย ก.ไม่ออมเงินไว้ภายในประเทศ รัฐบาลและเอกชนต้องไปกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุน ซึ่งเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายชำระคืนเงินกู้ รัฐบาลและเอกชนจะต้องจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย (เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ รวมทั้งเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐของนาย ก.)
ที่กล่าวมาในข้างต้นมีแค่คนเดียว แต่ถ้ามีผู้จับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเงินบาทแข็งค่า จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าต่างประเทศมากกว่าภาวะที่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ เงินตราต่างประเทศจึงถูกใช้จ่ายออกไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
ยกเว้นในกรณี นาย ก.จะใช้จ่ายเงินไปในการขยายกิจการ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าก็ควรทำในลักษณะที่พอตัว

             2.กลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อปานกลางและต่ำ (กลุ่มชนชั้นกลางและรากหญ้า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ) เป็นกลุ่มที่มีปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินตัว จากการผ่อนส่งสินค้า การใช้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และการกู้หนี้ยืมสิน เพราะความไม่พร้อมทั้งกำลังซื้อและความไม่เหมาะสมกับฐานะของตน พฤติกรรมเช่นนี้ได้แพร่กระจายไปแทบจะทั่วทุกหัวระแรง ซึ่งถ้ามีคนซื้อเพียงไม่กี่คน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็คงจะไม่มีผลกระทบใดกับระบบเศรษฐกิจ แต่นี่เล่นแห่ขบวนพาเหรดกันไปซื้อ โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
          
ถ้าคนไทยรู้จักคิด รู้จักใช้เหตุผลให้อยู่เหนือกว่าความต้องการ ประเทศชาติก็จะมีความมั่งคั่งมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่ชาวต่างชาติผลิตสินค้าอะไรออกมาขายคนไทยซื้อหมด ถ้าเจ้าของสินค้าเป็นคนไทย ยิ่งซื้อมากเท่าไรยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเท่านั้น และผลกำไรจากการประกอบธุรกิจนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
          
           ท้ายนี้ขอฝากข้อคิดแก่กลุ่มคนผู้มั่งคั่งร่ำรวย ว่า ชาติบ้านเมืองต้องพึ่งพาท่านทั้งหลาย ขอเพียงท่านออมเงินไว้ภายในประเทศ เพื่อไม่ให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ ก็ถือว่าได้กระทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว
สำหรับกลุ่มชนชั้นกลางและรากหญ้า ขอให้ยึดหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา (คิหิปฏิบัติ) ว่าตระกูลอันมั่งคั่ง จะตั้งอยู่นานไม่ได้ เพราะเหตุ 4 คือ
1.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
2.ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
3.ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
4.ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน ถ้าอยากให้ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย และตั้งอยู่ได้นาน ต้องปฏิบัติในทางตรงกันข้ามนี้ (กรอบบ่าย)


การยกย่องความดีให้มีอิทธิพลเหนือเงินตราในทุกวันนี้ เหมือนเป็นคำพูดนามธรรม ยากต่อการทำแต่ก็ใช้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย เพียงแต่ต้องเริ่มต้น ปลูกฝังค่านิยมกันเสียใหม่ เลือกให้ความสำคัญกับวัตถุ เลิกยึดติดสินค้าแบรนด์เนมที่เกินความจำเป็น หากนึกภาพอะไรไม่ออก ขอให้มองแบบอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ่อหลวงที่สอนให้ราษฎรของพระองค์มีชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง มีน้ำใจ รู้จักการเสียสละแบ่งปัน อันเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นปัจจัยแห่งความสุขในชีวิต ช่วยเสริมสร้างสังคมให้เข้มแข็งเปี่ยมล้นไปด้วยความสงบสุขที่มั่นคง และยั่งยืน




บรรณานุกรม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น