รายงานวิชา
830329 ปัญหาสังคมและประเด็นสำคัญด้านการพัฒนา
บทความทางวิชาการเรื่อง
เด็กเร่รอน : วาระทางสังคม
นาย
วัชระ ทองขาว 53242506
คณะสังคมศาสตร์
สาขาพัฒนาสังคม ชั้นปีที่ 3
ปัญหาเด็กเร่ร่อนเป็นปัญหาที่มีมานาน
และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
เป็นปัญหาสังคมที่เชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ การศึกษาวิถีชีวิตของเด็กเร่ร่อน
ทุกแง่มุมจะทำให้รัฐและสังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาและหันมาสนใจแก้ปัญหาอย่างรีบด่วนและจริงจังมากกว่าเดิม
โดยแต่ละประเทศต่างก็พยายามหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว
รูปแบบในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในประเทศดังกล่าว สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ แนวทางคือ
(๑) การให้การศึกษา (๒) การให้ทำงาน (๓) การให้ความช่วยเหลือบนท้องถนน เด็กเร่ร่อน
ปัญหาที่ดูคล้ายจะไกลตัวแต่แท้จริงเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นใครในชุมชน ในสังคม
ต่างก็สามารถเป็นได้ทั้งผู้ป้องกันการเร่ร่อนของเด็ก
หรือจะกลายเป็นผู้ผลักดันเด็กให้ออกมาสู่ถนนเพื่อเป็นเด็กเร่ร่อน
หากช่วยเหลือพวกเขาได้แม้เพียงสักนิดก็แสดงน้ำใจหน่อยเถิดครับ
ถือเสียว่าทำบุญก็แล้วกัน
กรุงเทพมหานครมีจำนวนเด็กเร่ร่อนมากที่สุดในประเทศไทยโดยเด็กเร่ร่อนจะอาศัยอยู่ตามที่สาธารณะต่างๆเช่น
หัวลำโพง สนามหลวง เชิงสะพานพุทธ วงเวียนใหญ่ สวนศรีนครินทร์ ลาดพร้าว พัฒน์พงษ์ สวนลุ่มพินี และเชิงสะพานปิ่นเกล้า
เด็กเร่ร่อนเหล่านนี้ยังชีพอยู่ได้ด้วยการขอทาน การขายของ และการขายบริการทางเพศ
เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มักเสพยาเสพติดประเภทต่างๆ เช่นบุหรี่ แล็กเกอร์ ยากล่อมประสาท
ยาม้า และเฮโรอีน
สาเหตุที่ทำให้เด็กเร่ร่อนเสพยาเสพติดเกิดจากบุคลในทางสังคมที่มีพฤติกรรมชั่ว
หลอกให้เด็กลองและชักจูงไปในทางที่ผิด ให้เด็กเป็นค่ารับใช้โดยอ้างว่าจะพาไปอยู่ด้วยและจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดีให้สบายไม่ให้ลำบาก
แต่แท้จริงแล้วเด็กถูกคนชั่วเหล่านี้หลอกให้ไปเป็นคนงานคอยรับใช้ให้หาเงินให้มันและถูกบังคับต่างๆนาๆถ้าไม่ทำตามก็จะถูกทำร้ายร่างกาย
เราจะเห็นว่าเด็กออกมาหาเงินและมีการดำเนินชีวิตอยู่บนท้องถนนอย่างมาก
เด็กเร่ร่อนจึงจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายอาทิ
มีเพื่อนด้วยกัน ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ และครูข้างถนน
ซึ่งความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้มีทั้งในลักษณะที่พึงพาอาศัย ขอความช่วยเหลือ
ช่วยแก้ไขปัญหา และถ้าไม่จำเป็นก็จะพยายามหลีหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะเดียวกันยังมีครูข้างถนนที่เด็กเร่ร่อนให้ความไว้วางใจมากที่สุด
และดีใจที่ได้พูดคุยกับครูข้างถนนเพราะครูข้างถนนนั้นให้ความช่วยเหลือ
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์แค่ทำตามหน้าที่เป็นกลุ่มที่เด็กเร่ร่อนจะพยายามหนีออกห่างให้มากที่สุด
ปัจจุบันนั้นจำนวนเด็กถูกทอดทิ้งมีตัวเลขและแนวโน้มสูงขึ้น
สาเหตุน่าจะมาจากวัยรุ่นสมัยนี้โตเร็ว
และมีความคิดที่ผิดอาจเป็นเพราะว่ายุคสมัยนี้เปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนมาก สมัยนี้เด็กไทยมักจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆจากต่างประเทศ
จนกลายเป็นค่านิยมที่ผิดๆ
ส่วนเรื่องเพศสัมพันธ์เด็กยุคนี้อาจจะใจกล้ามากกว่าเมื่อก่อน
ไม่คิดถึงอะไรหรือผลกระทบที่จะตามมาคิดเพียงแต่ว่าต้องได้
แต่ก็ไม่อยากให้มองว่าผลพวงของเด็กถูกทอดทิ้งมาจากเด็กใจแตกเพียงอย่างเดียว
มันยังมีผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจและภาวะสังคมด้วย
ที่สำคัญคนสมัยนี้รู้จักกฎหมายมากขึ้น
เขาจะไม่ฆ่าลูกที่เกิดมาแต่จะใช้วิธีทิ้งตามโรงพยาบาล ทิ้งตามสถานที่ต่างๆ
หรืออุ้มมาทีหน้าสถานสงเคราะห์ทำให้มีจำนวนเด็กถูกทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น
สถานการณ์เด็กเร่ร่อนกำลังขยายตัวแบบเงียบๆทั้งในเชิงปริมาณและปัญหา
ที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมที่ต้องช่วยกันดูแลและแก้ไขตลอดจนจำนวนเด็กที่มาจากหลายที่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยและต่างประเทศ
พบว่าเด็กจากต่างชาติ ทั้งพม่า กัมพูชา และลาว
เข้ามาในประเทศไทยนั้นเข้ามาเป็นขอทานและถูกใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
เพราะเรามองเห็นแค่ว่ามีเด็กเร่ร่อนอยู่ทั่วไปแล้วขอทาน
ใช้แรงงานเป็นเพียงแค่ปัญหามิติเดียว
แต่ไม่อาจจะรู้ได้ว่าก่อนที่เด็กเหล่านี้จะมาเป็นเด็กเร่ร่อนนั้นมันมีหลายมิติและซับซ้อนที่หลายต่อหลายคนยังมองไม่เห็น
เป็นปัญหาที่กำลังจะขยายตัวมากขึ้น
ดังนั้นรัฐบาลควรให้ความสำคัญของปัญหาเด็กเร่ร่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของนโยบาย
งบประมาณ และการทำงานในลักษณะเครือข่าย หรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเด็ก
เพื่อให้เด็กเร่ร่อนเหล่านี้ ได้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้เด็กมีชีวิตที่ดีและมีอนาคตเพื่อที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศเรา
อย่างไรก็ตาม
ก็มีการสำรวจจำนวนของเด็กเร่ร่อนที่มีในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและควรให้การสนับสนุน
เพราะจะทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กเร่ร่อนนั้นให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
การให้ข้อมูลของเด็กเร่ร่อนนั้นผู้ที่ทำนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีความมานะพยายามและมีจิตใจที่ทำเพื่อสังคมและทำงานให้กับสังคม
ทำงานเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อน
ที่จะคอยบอกให้ทุกคนได้รับรู้เพื่อช่วยเหลือกันและพยายามที่จะทำให้ทุกคนเห็นภาพสะท้อนของเด็กเร่ร่อน
ออกมาให้สังคมและฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างภาครัฐได้รับรู้กัน เสียงสะท้อนจากการปฏิบัติงานนี้คนที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนต่างก็หวังที่จะให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้รับรู้และพยายามพร้อมที่จะช่วยเหลือปัญหาเด็กเร่ร่อน
ช่วยกันหลายๆหน่วยงานก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายยากที่หาหนทางจะแก้ไข
โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยต้องเข้าร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเชียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ปัญหาเด็กเร่ร่อนจะขยายวงกว้างกว่าเดิมแน่นอน
เพราะว่าเด็กจากต่างประเทศนั้นจะเข้ามาศึกษาในประเทศไทยและมีการดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศไทยเด็กเหล่านี้จะสามารถปรับตัวเข้ากันกับเด็กไทยได้หรือป่าวก็คาดการณ์ได้ยาก
รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่แน่นอนว่าจะดีขึ้นหรือเป็นไปในทางใดก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการทำให้เด็กเร่ร่อนนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันอีกเป็นเท่าตัว
ฟังแล้วแม้จะรันทด แต่เราก็มิอาจปฏิเสธได้
สาเหตุของการเกิดปัญหาเด็กเร่ร่อน
อาจเกิดได้หลายๆปัจจัยด้วยกันสามารถแบ่งได้ดังนี้
ปัจจัยที่ 1ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
เด็กออกมาใช้ชีวิต เร่ร่อนนั้นพบว่า
ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ความยากจนของครอบครัวส่งผลให้เด็กไม่ได้รับสวัสดิการตามที่ต้องการอย่างเพียงพอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การศึกษา สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
รวมทั้งการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กต้องการอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เด็กต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการด้วยตนเอง โดยทางเลือกคือ
การหนีออกจากบ้านนั้นเองออกมาเร่ร่อน
เพื่อทำอาชีพเลี้ยงตนเองและในบางรายพ่อแม่ของเด็กเอง คือ
ผู้ที่ส่งให้เด็กออกมาประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว ซึ่งนั่นเองคือ
จุดเริ่มต้นให้เด็กออกมาเร่ร่อน
ปัจจัยที่ 2 ปัญหาครอบครัว
ปัญหาภายในครอบครัวมีส่วนสำคัญมากที่ทำให้เด็กหนีออกจากบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นการเหย้าร้างของพ่อแม่การใช้ความรุนแรง การทะเลาะกัน
การแต่งงานใหม่ของพ่อของแม่ ครอบครัวมีหนีสิน ฯลฯ ปัญหาต่างๆเหล่านี้
ต่างสร้างความกดดันให้เด็ก ดึงความสนใจของพ่อแม่ไปจากตัวเด็ก
ทำให้เด็กขาดความรักความอบอุ่น ทำให้เด็กต้องออกมาเร่ร่อน
เพื่อให้พ้นจากสภาพความอึดอัดดังกล่าว
จึงต้องยอมรับว่าปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาที่ทำให้เด็กออกมาเร่ร่อนปัญหาหนึ่ง
และในทางสังคมแล้วถือว่าครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญต่อตัวเด็ก ที่จะทำให้เด็กมีความสุขได้
ถ้าเด็กได้รับการดูแลและให้ความอบอุ่นอย่างดี
ปัจจัยที่ 3 ปัญหาจากตัวเด็กเอง
เด็กวัยรุ่นกำลังอยากรู้อยากเห็น และอยากลอง
ต้องการความเป็นอิสระ
ต้องการหาประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆชอบฝ่าฝืนกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ
รวมทั้งต้องการมีกลุ่ม มีพวกพ้องเพราะการมีพวกพ้องเป็นวิถีที่ให้เด็กได้รับตอบสนองความต้องการหลายประการ เช่น ความรู้สึกอบอุ่นใจ การได้รับการยกย่อง
ความรู้สึกว่ามีผู้เข้าใจในตนเอง ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตน
จึงเป็นผลให้เด็กเลือกใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านกับเพื่อนมากกว่าอยู่กับพ่อแม่และรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำสิ่งต่างๆตามความต้องการของพ่อแม่
ปัจจัยที่
4
ปัญหาจากโรงเรียน
ปัญหาจากโรงเรียนเป็นตัวผลักดันให้เด็กออกมาเร่ร่อนด้วย
ซึ่งในบางครั้งเด็กถูกครูลงโทษโดยไม่มีเหตุผล
ถูกทำให้ได้รับความอับอายที่โรงเรียนถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นคนเลว
ทำให้เด็กต้องการเป็นคนเลวไปจริงๆ
ไม่สมควรที่จะเรียนหนังสือทำให้เด็กไม่อยากไปเรียนหนังสืออีกหรืออยู่บ้านอึกต่อไป
จึงเป็นเหตุให้เด็กหนีออกจากบ้านออกมาเร่ร่อน
สาเหตุรองลงมาที่ทำให้เกิดปัญหาเด็กเร่ร่อนมีสาเหตุดังนี้
สาเหตุ
|
ตัวอย่าง
|
1.สาเหตุทางเศรษฐกิจ
|
ครอบครัวยากจน
เด็กต้องช่วยผู้ปกครองประกอบอาชีพ
|
2.สาเหตุทางครอบครัว
|
ครอบครัวหย่าร้างแตกแยก
ครอบครัวเด็กกำพร้า เด็กต้องไปอาศัยอยู่กับผู้อื่น
|
3.สาเหตุทางสังคม
|
กรณีเด็กยู่คนเดียว
เด็กถูกเฆี่ยนตี เด็กได้รับความกดดัน เด็กเร่ร่อน เด็กติดเกม ติดยาเสพติด
มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรและตั้งครรภ์
|
4.สาเหตุจากสัญชาติหรือทะเบียนราษฎร์
|
เด็กต่างชาติอพยพเข้ามาทางชายแดน
ชายขอบ หรือเด็กสองสัญชาติในจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงเด็กตกสำรวจไม่มีเลข 13 หลัก
|
5.สาเหตุจากสภาพแวดล้อม
|
มีแหล่งอบายมุข
เด็กเห็นการเล่นการพนัน หรือการเสพยาเสพติดเป็นเรื่องธรรมดา
|
6.สาเหตุจากทางโรงเรียนที่ระบบผลักดันเด็กให้เด็กออกจากโรงเรียนโดยไม่รู้ตัว
|
การเข้มงวด
ดุด่าประจานหน้าเสาธง ไม่ยืดหยุ่นผ่อนปรนในบางเรื่อง เช่น การแก้ 0 แก้
ร ไม่ทันเวลา
|
7.สาเหตุจากตัวเด็กเอง
|
นิสัยเกียจคร้าน
เบื่อโรงเรียน บางคนมีปมด้อยทางร่างกายถูกเพื่อนล้อเลียน จึงไม่กล้าไปโรงเรียน
|
ผลกระทบต่อสังคม
1.ด้านการศึกษา
การเรียนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อเด็กแต่ปัจจุบันนี้เป็นวิกฤตการณ์ทางการศึกษา
เพราะเด็กเร่ร่อนมีจำนวนมากขึ้น จากข้อมูลประมาณ 30,000 คนเป็นเด็กเร่ร่อน ไม่ได้เข้าเรียนหนังสือหรือเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ
ทำให้เด็กที่กลายเป็นเด็ดเร่ร่อนนั้นไม่ได้รับการศึกษาอย่างดีเท่าที่ควร
และยังต้องใช้ชีวิตในสังคมอย่างเลวร้าย
2.ด้านสิทธิและเสรีภาพ
ปัญหาเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อน
เรามักจะเคยได้ยินในสังคมว่ามีปัญหาเด็กถูกละเมิดสิทธิ เด็กถูกทารุณ
ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ เด็กถูกละเมิดทางเพศ ซึ่งพบว่าเด็กที่ถูกกระทำนั้นส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยลง
และมีการละเมิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ปัญหาแรงงานเด็กพบว่า
ปัจจุบันมีเด็กถูกใช้แรงงาน
ปัญหาโสเภณีเด็กเป็นปัญหาของเด็กที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหญิงและชาย
และจากการสำรวจข้อมูลผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศพบว่าจะมีแนวโน้มการขายบริการทางเพศเพิ่มขึ้น
ปัญหาที่น่าวิตกไม่แพ้กันคือ ปัญหาเด็กกำพร้า และเด็กถูกทอดทิ้งจำนวนสูงขึ้น 1.4
แสนคน หรือค่าเฉลี่ยของเด็กถูกทอดทิ้งต่อวันคือ วันละ 5 คน
3.ด้านสังคม
การใช้ยาเสพติด
เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มีประสบการณ์การใช้ยาเสพติด ทั้งกาว ยาบ้า กัญชาหรือ แม้กระทั่งเฮโรอีน
มาก่อนที่จะทำอาชีพนี้ ทั้งโดยเพื่อนชักชวน และ ความอยากลองของตนเอง
ทั้งๆที่เด็กทราบถึงผลร้ายของสารเสพติดเหล่านี้เป็นอย่างดี
การลักขโมย ปัญหาอาชญากรรม
ซึ่งเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ต้องการอาหารซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยมาสู่การเป็น ขโมยได้
ผลกระทบต่อตัวเด็กเร่ร่อน
1.ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี จึงทำให้เสียอนาคต
2.เด็กถูกทำร้ายร่างกายจนเจ็บ หรือ ถึงขั้นเสียชีวิตได้
3.เด็กไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว จึงทำให้เด็กซึมเศร้า
4.ตัวเด็กมีนิสัยเกร้าร้าว เพราะไม่มีใครอบรบนิสัย
5.เด็กมีร่างกายไม่สมบูรณ์ เพราะอดอาหาร ได้กินบางไม่ได้กนบาง
และยังจะต้องหาเงินอีกจึงไม่มีเวลาไปซื้อรวมถึงเงินไม่ค่อยมีซื้อด้วย
6.เด็กไม่มีความสุข สังเกตใบหน้าของเด็กจะไม่ยิ้มแย้มเลย
7.เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย
หน่วยงานภาครัฐที่ทำงานด้านเด็กเร่ร่อน
1.สำนักพัฒนาสังคม
กรุงเทพมหานคร ที่เริ่มช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2534 และในปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบการช่วยเหลือเป็น
ศูนย์สร้างโอกาส มีทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน
ศูนย์สร้างโอกาสเด็กจตุจักร สวนลุ่มพีนี พระราม9 ทุ่งครู
สวนพฤษชาติคลองจั่น พระปกเกล้า พระราม8
2. สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันนี้ต่างเกิดขึ้นในจังหวัดใหญ่ จำนวน 18 จังหวัดด้วยกัน สำนักส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยกรุงเทพมหานคร1 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตปทุมวัน
กศน.นครปฐม,สระบุรี,สมุทรปราการ,ชลบุรี,นครราชสีมา,ขอนแก่น,อุดรธานี,อุบลราชธานี,หนองบัวลำภู,เชียงราย,เชียงใหม่,สุราษฎธานี,ลำพูน,สงขลา,ยะลา,ภูเก็ต,นครศรีธรรมราช
เป็นต้น
3.กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สำคัญมาก
โดยเฉพาะภารกิจในส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้แก่เทศบาล และเทศบาลนครบาล
ปัจจุบันมี่ทั้งสิ้น 32 จังหวัดที่ดำเนินการอยู่
แต่ต้องได้ปรับกระบวนการ การให้ความสำคัญ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง
4.กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่มีบ้านพักให้เด็กและครอบครัว
สถานสงเคราะห์ที่สามารถรองรับเด็ก ได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
5.ศูนย์พิทักษ์และคุ้มครองสิทธิเด็ก
-ปกป้อง ดูแลเด็กเร่ร่อนให้มีที่อยู่ไม่ให้ใครมาทำร้าย เพื่อดูแลลูกหลานของท่าน
-ช่วยเหลือ ให้ได้มีการเรียนหนังสือ มีการฝึกฝนอาชีพ
เพื่อสามารถเลี้ยงดูตนเองได้
-ให้คำปรึกษา
จะให้คำปรึกษาที่ดีและพร้อมที่จะชักจูงให้เดินทางไปในทางที่ดีเสมอ
6.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งเริ่มจาก
26 โรงพักในนครบาล ปัจจุบันที่ยังทำอยู่ คือสน.บางซื่อ และยังมีโครงการตำรวจครูข้างถนนของตำรวจรถไฟ เป็นต้น
หน่วยงานภาครัฐส่วนมากจะมีบางหน่วยงานที่เป็นครูข้างถนน
บางหน่วยงานมีบ้านพัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือการเชื่อมประสานส่งต่อกัน
สิ่งที่หน่วยงานภาครัฐควรพัฒนา
1.การพัฒนาเด็ก
รัฐควรมีกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อให้เด็กพึ่งตนเองได้ในอนาคต
ทั้งในเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวัน
และการสร้างความพร้อมในการเรียนการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสังคม
สำหรับเด็กที่มีความยากลำบากในการเรียน รัฐควรจัดให้มีการฝึกอาชีพหรือให้ทางเลือกในการประกอบอาชีพอิสระ
2.การพัฒนาบุคลากร
รัฐควรมีมาตรการในการช่วยพัฒนาครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. 2546 เพื่อให้การปฏิบัติต่อเด็กของบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
รวมทั้งควรมีการสร้างองค์ความรู้
เสริมทักษะและศักยภาพแก่ครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านในเรื่องต่างๆอย่างต่อเนื่องเช่น
จิตวิทยาเด็กและเด็กวัยรุ่น ความรู้เรื่องเพศศึกษา ยาเสพติด โรคเอดส์
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสารที่ทันสมัยใหม่และกระบวนการทำงานกับเด็ก
เพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมตามหลักของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
3.ด้านนโยบาย รัฐควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลเด็กเร่ร่อนและเด็กด้อยโอกาสที่เข้ามาอยู่ในบ้านแรกรับและพัฒนาเด็กทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นองค์รวม
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทศทางเดียวกัน และที่สำคัญรัฐบาลควรสนับสนุนการดำเนินงานบ้านหลังแรกรับและพัฒนาเด็กที่ดำเนินกิจงานโดยองค์เอกชนเอกชน
เพื่อให้การทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนของรัฐเป็นไปอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรเอกชนดำเนินการดูแลเด็กที่อยู่ในบ้านอย่างมีคุณภาพ
แต่ต้องแบกรับภาระด้านงบประมาณที่ยังไม่เพียงพอ นับตั้งแต่ค่าอาหาร เสื้อผ้า
การศึกษา การเดินทางไปเรียนหนังสือ ค่าที่พัก และค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
รัฐควรสนับสนุนงบประมาณดำเนินการเป็นรายปีขั้นต่ำประมาณ
27,000-37,000
บาท ต่อคนต่อปี หรือเฉลี่ยคือประมาณ 73-78 บาทต่อคนต่อบาท
หรือพิจารณาตามหลักที่รัฐบาลให้กับสถานแรกรับหรือสถานสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. 2546 โดยรัฐอาจจัดสรรจากกองทุนคุ้มครองเด็กที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก
รูปแบบการบริการของภาครัฐและเอกชน
1.รูปแบบบริการจากหน่วยงานภาครัฐ สถานแรกรับเด็กของกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งรับเด็กเป็นการชั่วคราวจะจัดการสอนให้เด็กได้รับการศึกษาตามสมควรแก่วัย
ไม่เน้นระบบชั้นเรียนไม่เน้นวิชาสามัญโดยตรง แต่เน้นการฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น
เช่นเรื่องจักรสาน เกษตรกรรม การทำดอกไม้ การตัดเย็บ เป็นต้น สถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก
จะให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา
ซึ่งเป็นการศึกษาสามัญหรืออาชีวศึกษาขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความสามารถ
และความถนัดของเด็ก ด้านสามัญศึกษา จัดให้มีโรงเรียนขึ้นภายในสถานคุ้มครองฯ
สอนระดับชั้นประถมศึกษา และอาจได้รับการสนับสนุนให้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษา ในขณะเดียวกันจัดให้
มีการเรียนในรูปแบบนอกโรงเรียนเทียบเท่าระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ด้านอาชีวศึกษาได้จัดการฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น เช่น ช่างไม้ ช่างเชื่อมโลหะ
ช่างเครื่องยนต์ ช่างเย็บหนัง ช่างตัดผม ตัดเย็บเสื้อผ้า ประดิษฐ์ดอกไม้ เป็นต้น
โดยผู้ที่สำเร็จหลักสูตรจะได้รับการจัดหางานให้ทำ
2.รูปแบบบริการจากภาคเอกชน
ให้การบริการให้การศึกษาแก่เด็กเร่ร่อนในลักษณะต่างๆ
ได้แก่เจ้าหน้าที่ภาคสนามหรืออาสาสมัคร หรือครูข้างถนน
ออกไปพบเด็กเร่ร่อนในท้องถนนหรือสถานที่ที่เด็กชุมชน
เข้าคลุกคลีกับเด็กเพื่อทำความคุ้นเคย ทำความเข้าใจ โยการพูดคุย
การจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะด้านนันทนาการ เล่นเกม และสอนหนังสือ มีการพาเด็กไป ทัศนศึกษาและออกค่ายพักแรมตามโอกาส
บ้านเปิดหรือบ้านเด็กที่รับเด็กเข้าอยู่และดูแลจะจัดการเรียนการสอนให้เด็กตามความ
เหมาะสมของเด็กส่วนใหญ่เป็นการเตรียมให้เด็กสามารถไปเรียนต่อในสถานศึกษา
โดยสอนเพื่อให้อ่านออกเขียนได้หรือสอนเสริม ดูแลการเรียนของเด็กในช่วงตอนเช้า
ส่วนตอนบ่ายจะเป็นการแยกย้ายทำกิจกรรมต่างๆ
มีกิจกรรมนันทนาการและการฝึกอาชีพระยะสั้น
บ้านเด็กบางแห่งจะจัดส่งเด็กที่พร้อมไปเรียนในโรงเรียนและช่วยเหลือเรื่องการเรียนของเด็กหรือ
ติวให้
การส่งเด็กไปโรงเรียนจะมีปัญหาเพราะว่าเด็กขาดหลักฐานสำหรับการสมัครเรียน คือใบเกิด
หรือ ใบทะเบียนบ้าน เด็กที่ไม่มีหลักฐานจึงไม่สามารถเข้าเรียนได้
ปัจจุบันปัญหานี้ได้รับการแก้ไข
คือโรงเรียนสามารถรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานเข่าเรียนได้ แต่ก็ยังมีปัญหาตอนจบการศึกษา
เนื่องจากโรงเรียนไม่ออกวุติบัตร แต่จะให้เพียงใบรับรองว่าจบการศึกษา
และลงท้ายข้อความว่า “ไม่สามารถนำไปสมัครงานได้” และนอกจากนี้ ยังมีปัญหาในการปฏิบัติเนื่องจากบางโรงเรียนไม่ประสงค์จะรับเด็กเร่ร่อนเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติ
การขยายงานในลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับชุมชน
โดยรับและให้เด็กเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชน
เด็กจะใช้ชีวิตแบบครอบครัวกับเจ้าหน้าที่โครงการ
โดยเจ้าหน้าที่จะจัดการเรียนการสอนให้ มีการพาเด็กไปพบปะกับชาวบ้าน
เป็นการเรียนรู้ด้านสังคมและการเข้ากับชุมชน ในบ้านมีการจัดกิจรรมการเรียนการสอนและมีกิจกรรมฝึกฝนอาชีพ
แนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อน
เด็กเร่ร่อนทุกคน
ไม่ได้มีความตั้งใจ หือความพยายามว่า จะออกมา เป็นเด็กเร่ร่อน
แต่เด็กได้รับความกดดันทั้งจากตัวเด็กเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ที่อยู่รอบๆตัวเด็ก
ในอดีตเป็นอย่างไร ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวก็ยังคงอยู่ ทั้งเรื่องความเชื่อ วัฒนธรรม
เศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนไป
ปัญหาเด็กเร่ร่อนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งของสังคม
ซึ่งเกิดจากหลายๆสาเหตุดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แต่สาเหตุใหญ่ๆที่เรารู้จักกันดีนั้นคือ เริ่มจากจุดเล็กๆในสังคมที่เรียกว่า
ครอบครัวทั้งปัญหาครอบครัวแตกแยก ปัญหาเด็กกำพร้า ซึ่งโยงใยด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง
ทั้งจากการว่างงานของผู้นำในครอบครัว จากปัญหาเศรษฐกิจที่มักจะไม่คงที่คงวา
และปัญหาสังคมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถ้าหากเราจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนนี้
เราต้องเริ่มจากการมีครอบครัวที่ดีเสียก่อน
เราต้องต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวต้องใส่ใจ รัก
และดูแลซึ่งกันและกัน แม้บางครอบครัวจะขาดพ่อหรือแม่ไปคนใดคนหนึ่ง
แต่หากบุคคลที่เหลืออยู่ให้ความรักความอบอุ่น เป็นได้ทั้งพ่อและแม่ให้แก่ลูกนั้น
ปัญหาเด็กเร่ร่อนนี้ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาในสังคมได้เลย
แนวคิดและทฤษฎี
แนวคิดเรื่องเด็กเร่ร่อน
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ (2535, น. 21) หรือครูหยุ่น แห่งมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ได้ให้ความหมายเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย ออกเป็น 2 ลักษณะ
คือเร่ร่อนตามวิถีชีวิตครอบครัว ลักษณะของเด็กเร่ร่อนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนกับ”ยิปซี” ที่อพยพเคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆ
เด็กลุ่มนี้จะเร่ร่อนตามครอบครัวไปตามแหล่งงานใหม่ เช่น กรรมกรก่อสร้าง
การเร่ร่อนลักษณะนี้เป็นการเร่ร่อนตามวิถีการดำรงชีพของครอบครัว
เด็กเร่ร่อนตามวิถีชีวิตของตนเอง ลักษณะของเด็กเร่ร่อนกลุ่มนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ที่รับแรงผลักดันอย่าง รุนแรงจากครอบครัว ตั้งแต่ความแร้นแค้น
อดอยาก การดุด่าและตบตีเป็นประจำ การถูกบังคับใช้แรงงาน อย่างหนัก จนเด็กรับสภาพ
แบบนี้ไม่ได้ จึงหนีออกจากบ้านมาเร่ร่อนไป ในทุกแห่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
เมื่อพิจารณาตามความหมายของครูหยุ่นแล้ว
เด็กเร่ร่อนจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ เร่ร่อน
พร้อมครอบครัว และเร่ร่อนตามลำพัง ทั้ง2 กลุ่มนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป
ในกลุ่มแรก ลักษณะความสัมพันธ์ภายในครอบครัวยังมีอยู่มาก ในขณะที่กลุ่มที่สอง
เด็กจะมีปัญหากับครอบครัว จึงออกมเร่ร่อนในลักษณะการหนีออกจากบ้าน
ทฤษฎีบุคลิกภาพ
เชื่อว่าบุคลิกภาพมีส่วนสำคัญต่อการเกิดปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคม
และบุคลิกภาพของคนแต่ละคนจะถูกสร้างระหว่างช่วงวัยแรกของวัยเด็ก
การอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาของ บุคลภาพในวัยผู้ใหญ่
เพราะครอบครัวเป็นหน่วยที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์
ถ้าหากเด็กมีความขัดแย้งกับพ่อแม่ อาจนำซึ่งการเกิดบาดแผลทางอารมณ์
ซึ่งจะทำให้เด็กหนีออกจากบ้านและเด็กกลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสกลายเป็นผู้ก่อปัญหาสังคมได้ภายหลังเช่น
เป็นคนเก็บกด มีปัญหาทางจิ เป็นต้น
บทสรุป
ปัญหาเด็กเร่ร่อนนับเป็นปัญหาสังคมที่มีขนาดใหญ่
ซึ่งเกิดจาก สาเหตุ ครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่หย่าร้างกัน พ่อแม่ทะเลาะกัน
ปัญหาจากทางโรงเรียน เช่น เด็กถูกครูลงโทษโดยไม่มีเหตุผล ปัญหาจากตัวเด็กเอง เด็กวัยรุ่นนั้นจะมีพฤตกรรม
อยากรู้อยากลอง เสี่ยงต่อการเดินหลงทางไปในทางที่ผิดได้ง่าย
ถ้าหากไม่มีใครคอยให้คำแนะนำที่ดี ให้เด็กนั้นได้มีอนาคตที่สดใส
และปัญหาจากทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ทางครอบครัวของเด็กมีฐานะที่ยากจน
เด็กจึงไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจต้องการจึงต้องออกมาทำสิ่งที่ตนเองต้องการทำ
ปัจจุบันนี้จำนวนเด็กเร่ร่อนนั้น มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงสูงขึ้น
และจะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างหลากหลาย ทั้งทางด้านสังคม ด้านการศึกษา
ด้านสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรหาทางแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง เราสามารถลดปัญหาเด็กเร่ร่อนนั้นได้ ต้องเริ่มจากจิตสำนึกของตนเองก่อน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเด็กเร่ร่อนนั้นมาจากตัวบุคคล ตัวอย่างเช่น
เมื่อแม่คลอดลูกออกมาแล้วนำเด็กไปทิ้ง
ถ้าหากผู้เป็นแม่เด็กนั้นมีจิตสำนึกที่รักลูกก็จะไม่ทำกันแบบนี้ และปัญหาครอบครัวเมื่อคนมีจิตสำนึกที่ดี
มีความรักในครอบครัว สร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ดูแลซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้
ปัญหาเด็กเร่ร่อนนั้นลดลง และยังมีหน่วยงานทางภาครัฐที่คอยดูแล
เกี่ยวกับปัญหาเด็กเร่ร่อน ก็จะช่วย ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วปัญหาเด็กเร่ร่อนก็จะไม่มีในสังคมไทยอีกต่อไป
บรรณานุกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น