รายงานวิชา 830329 ปัญหาสังคมและประเด็นสำคัญด้านการพัฒนา
เรื่อง ปัญหาน้ำเน่าเสีย
นาย วิษณุ ทองประเทือง รหัสนิสิต 53242575
คณะสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาสังคม ชั้นปีที่ 3
ในปัจจุบันรู้กันดีว่าสัดส่วนของปริมาณ น้ำ ทั้งโลก 97%
เป็น น้ำ ทะเล
และ 3% ที่เหลือเป็น น้ำจืด นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของน้ำจืด ก็เป็นน้ำแข็งที่มนุษย์ใช้ประโยชน์แทบไม่ได้เลย ดังนั้นน้ำจืด ที่มนุษย์ใช้ จึงมีเพียง 1% เท่านั้น
ถ้าจัดแบ่งอย่างเหมาะสม ให้พอดีกับมนุษย์ทั้งโลก 6,000 ล้านคน
ก็จะเพียงพอ แต่แหล่งน้ำจืดที่มี ในประเทศต่างๆ ไม่กระจายอย่างเท่าเทียมกัน
ที่ที่มีน้ำจืดมากกลับแทบไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แต่ที่ที่มีมนุษย์
อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น กลับไม่มีน้ำจืดใช้เลย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำในบางสถานที่
มีการปนเปื้อนของสารพิษมากขึ้น สภาพเหล่านี้กำลังทำให้การบริโภคน้ำของมนุษย์โลก
มีปัญหาเพิ่มขึ้น
ปัญหาน้ำเน่าเสียตามแหล่งน้ำและชุมชนต่างๆ
ในทุกภาคของประเทศไทย
เริ่มมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศอย่างชัดเจน ราว ๒-๓ ทศวรรษ
ที่ผ่านมา เนื่องมาจากการพัฒนาตามความเจริญของบ้านเมืองและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
จึงมีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากในเขตชุมชน
โดยไม่มีการบำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพดีถึงเกณฑ์มาตรฐานก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติตามที่ควร
และน้ำเสียบางส่วนก็เกิดจากการระบายทิ้งจากบ้านเรือนโดยไม่มีการบำบัดอีกด้วย
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องหรือแต่ละชุมชนจะต้องเร่งรัด แก้ไขโดยเร่งด่วน
น้ำเน่าเสีย
นอกจากจะมีความสกปรกโสโครก มีกลิ่นเหม็นและสีดำคล้ำแล้ว
อาจมีสารเคมีซึ่งมีพิษเจือปนอยู่ด้วย เมื่อน้ำเน่าเสียไหลลงสู่แหล่งน้ำ ธรรมชาติ
เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ก็จะทำให้แหล่งน้ำสะอาดนั้น
กลายเป็นน้ำเสียจนไม่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านั้นได้อีกต่อไป
และอาจส่งกลิ่นเหม็น แพร่กระจายไปทั่ว เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อนามัย
ตลอดจนความเป็นอยู่ของประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณนั้น
สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำอาจตายหรือต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น
ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนเท่านั้น
แต่จะกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ความหมายของน้ำเน่าเสีย
น้ำเสีย หมายถึง
น้ำที่มีการปนเปื้อนสิ่งสกปรกในปริมาณสูง จนกระทั่งกลายเป็นน้ำที่ไม่เป็นที่ต้องการและเป็นที่น่ารังเกียจของคนทั่วไปที่พบเห็น สิ่งเจือปนที่ทำให้น้ำกลายเป็นน้ำเสียได้แก่ สารอินทรีย์ต่างๆ กรด ด่าง ของแข็งหรือสารแขวนลอย และสิ่งที่ลอยปนอยู่ในน้ำ เช่น น้ำมัน ไขมัน เกลือและแร่ธาตุ ที่เป็นพิษ เช่น โลหะหนัก สารที่ทำให้เกิดฟอง ความร้อน สารพิษเช่น ยาฆ่าแมลง สี กลิ่น
เป็นต้น
ลักษณะของน้ำเสีย จำแนกออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะน้ำเสียทางกายภาพ จะประไปด้วย ปริมาณของแข็งทั้งหมด กลิ่น อุณหภูมิ สี และความขุ่น
ซึ่งใช้เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของน้ำเสียทางกายภาพได้
- ปริมาณของแข็งทั้งหมด ประด้วย ปริมาณของแข็งที่แขวนลอย (TSS, Total Suspended Solids) และปริมาณของแข็งละลาย (TDS, Total Dissolved Solids) ค่าปริมาณของแข็งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสกปรกและความหนาแน่นของน้ำเสียได้
และยังสามารถบอกถึงประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียต่างๆ ที่เลือกใช้ในการบำบัดได้
-กลิ่น ส่วนมากจะมาจากก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในน้ำเสีย เช่นก๊าซไข่เน่าเกิดจากจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน
โดยทำการเปลี่ยนสภาพของซัลเฟตไปเป็นซัลไฟด์
ในการกำจัดกลิ่นในน้ำเสียอาจใช้สารเคมีที่สามารถออกซิไดซ์สารที่ทำให้เกิดกลิ่นได้
เช่น คลอรีน หรือการใช้ผงถ่านกัมมันต์ (activated carbon)
-อุณหภูมิของน้ำ เมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงมากขึ้นกว่าปกติ
จะมีผลทำให้ปฏิกิริยาชีวเคมีของพวกจุลินทรีย์สูงขึ้นตามไปด้วย
ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำถูกใช้เพิ่มมากขึ้น
และทำให้การเจริญเติบโตของพืชที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำมีมากกว่าปกติ
นอกจากนี้ยังมีผลให้การละลายของออกซิเจนในน้ำลดลง เนื่องจากค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในน้ำจะลดลงเมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น
-สี สีของน้ำเสียเป็นปัญหาเนื่องจากโรงงานหลายแห่ง เช่น โรงงานทอผ้า
โรงงานสีย้อมและอื่นๆ ปล่อยน้ำเสียออกมา หรือสีเขียวซึ่งเกิดจากการเกิดสาหร่ายมากๆ
ในแหล่งน้ำ ทำให้เกิดผลเสีย คือ จะเป็นตัวกั้นขวางแสงแดดไม่ให้ส่องลงใต้น้ำ
ทำให้แหล่งน้ำมีสีไม่น่าดู เนื่องจากสามารถมองเห็นสีของน้ำเสียได้ด้วยตาเปล่า
-ความขุ่น เกิดจากการมีสารแขวนลอยที่ลอยอยู่ในน้ำ
จะกั้นหรือขวางแสงแดดไม่ให้ส่องลงใต้น้ำได้มากกว่า 100% เช่นเดียวกันกับสี
น้ำที่มีความขุ่นมากจะทำให้ยากต่อการกรองน้ำ
2. ลักษณะน้ำเสียทางเคมี จะประด้วยสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ น้ำเสียที่มาจากบ้านเรือน จะประด้วย 50%
ของสารอินทรีย์และ 50% ของสารอนินทรีย์
-สารอินทรีย์ ส่วนประที่สำคัญของสารอินทรีย์ในน้ำเสียจากชุมชน คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน
ไขมันและน้ำมัน และปริมาณเล็กน้อยของผงซักฟอก สารประฟีนอลและยาปราบศัตรูพืช
-สารอนินทรีย์ ได้แก่ คลอไรด์ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ โลหะหนัก ก๊าซ
และสภาพความเป็นกรดและเบสของน้ำเสีย เป็นต้น
-คลอไรด์ ค่าความเข้มข้นของคลอไรด์ในน้ำเสีย ถ้ามีไม่มากจนเกินไป
จะไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะมีผลทำให้น้ำมีรสเค็มเท่านั้น
โดยปกติในน้ำประปาไม่ควรให้มีความเข้มข้นของคลอไรด์เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร
-ไนโตรเจน ธาตุไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญธาตุหนึ่งต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ
ดังนั้นในกระบวนการบำบัดน้ำเสียโดยวิธีทางชีวภาพจำเป็นต้องมีไนโตรเจนอย่างพอเพียงแต่ถ้ามีมากเกินไปจะมีผลทำให้สาหร่ายมีการเจริญเติบโตมากหรือเรียกว่าสาหร่ายเบ่งบาน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณของไนโตรเจนของน้ำให้เหมาะสม
-ฟอสฟอรัส เป็นธาตุหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตในน้ำเช่นเดียวกับไนโตรเจน
ดังนั้นจึงต้องควบคุมปริมาณของฟอสฟอรัสให้เหมาะสม
ไม่เช่นนั้นจะก่อปัญหาทำให้แหล่งน้ำเน่าเสียได้เช่นเดียวกับไนโตรเจน
-พีเอช (pH) เป็นค่าที่แสดงปริมาณความเข้มข้นของอนุภาคไฮโดรเจน [H+] ในน้ำ ใช้บอกความเป็นกรดหรือด่างของน้ำทิ้ง
เป็นค่าที่มีความสำคัญในการบำบัดด้วยวิธีการทางเคมี ฟิสิกส์และชีววิทยา
และจำเป็นต้องควบคุมค่าพีเอชของน้ำทิ้งให้คงที่หรือควบคุมให้อยู่ในช่วงที่จำกัดไว้
-สภาพกรดและสภาพด่าง (acidity
and alkalinity) สภาพกรดของสารละลายใดๆ คือความสามารถของสารละลายนั้นในการแตกตัวให้โปรตอน
น้ำทิ้งที่มีสภาพกรด
คำนวณเป็นมิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตรของแคลเซียมคาร์บอเนตจะมีค่าพีเอชต่ำกว่า 8.2
สภาพด่างของสารละลายใดๆ คือความสามารถของสารละลายนั้นในการรับโปรตอน
สภาพด่างของน้ำธรรมชาติหรือน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคเกิดขึ้นจากองค์ประของสารละลายไบคาร์บอเนต
คาร์บอเนตและไฮดรอกไซด์ น้ำทิ้งที่มีสภาพด่าง
คำนวณเป็นมิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตรของแคลเซียมคาร์บอเนต จะมีพีเอชสูงกว่า 4
-ซัลเฟอร์ มีอยู่ในน้ำธรรมชาติและในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องจากเป็นองค์ประในกรดอะมิโนของโปรตีน
ซัลเฟอร์ที่มีอยู่ในน้ำเสียจะอยู่ในรูปของ organic sulfur เช่น
ไฮโดรเจนซัลไฟต์ ธาตุซัลเฟอร์และสารซัลเฟต เป็นต้น
ซึ่งสารเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหากลิ่นเหม็นจากการย่อยสลายน้ำเสียและการกัดกร่อนต่สภาพแวดล้อม
-โลหะหนัก เป็นสารซึ่งมีพิษต่อสิ่งมีชีวิต
แต่มีโลหะหนักบางชนิดที่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต
แต่ต้องได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้ามากเกินไปจะเป็นพิษ ได้แก่ โครเมียม ทองแดง
เหล็ก แมงกานีสและสังกะสี เป็นต้น
สำหรับโลหะหนักบางชนิดที่ไม่เป็นที่ต้องการและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ได้แก่
แคดเมียม ตะกั่ว ปรอทและนิกเกิล เป็นต้น
-ก๊าซ ที่พบในน้ำเสียโดยมากจะเป็นพวกไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอน ไดออกไซด์
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ แอมโมเนียและมีเทน
ซึ่งก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์จะเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะไม่มีอากาศ (anaerobic)
และตัวการที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นในน้ำเสีย คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด์
แอมโมเนียและมีเทน
ถ้าสารซัลไฟด์ไปรวมตัวกับเหล็กจะเกิดเป็นเฟอรัสซัลไฟด์ซึ่งทำให้น้ำเสียมีสีดำเกิดขึ้น
-ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO,
Dissolved Oxygen) ออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ
น้ำธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดีจะมีค่า DO ประมาณ 5-7
ppm แต่ถ้าน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้การละลายของออกซิเจนลดลงหรือ
ถ้าในน้ำมีสิ่งมีชีวิตที่ต้องการออกซิเจนมาก
ก็มีผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงเช่นกัน
ซึ่งค่าความต้องการออกซิเจนในน้ำจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพของน้ำ มีดังนี้
-ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี เป็นค่าที่ใช้วัดปริมาณออกซิเจนซึ่งใช้โดยแบคทีเรียเพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ
-ความต้องการออกซิเจนทางเคมี (COD,
Chemical Oxygen Demand) เป็นค่าที่ใช้วัดปริมาณสารอินทรีย์ที่มีในน้ำด้วยวิธีทางเคมีโดยใช้โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต
3. ลักษณะน้ำเสียทางชีววิทยา
ประด้วยจุลินทรีย์มากมายหลายชนิดเจือปนอยู่
จุลินทรีย์ที่พบในน้ำเสียทั่วๆไป ได้แก่ แบคทีเรีย สาหร่าย ฟังไจ โปรโตซัว
โรทีเฟอร์ คัสตาเชี่ยนและไวรัส เป็นต้น
กระบวนการบำบัดน้ำเสีย
การบำบัดน้ำเสีย
เป็นกระบวนการที่ทำให้ของแข็งที่เจือปนอยู่ในน้ำเสียถูกขจัด
หรือเปลี่ยนแปลงสภาพจากสารอินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเสียได้ง่าย
กลายไปเป็นแร่ธาตุหรือสารอินทรีย์ที่ค่อนข้างคงสภาพ
ซึ่งส่งผลให้ความสกปรกในน้ำลดลงไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมเมื่อปล่อยออกไป
สำหรับส่วนที่เป็นของแข็งที่แยกออกไปนั้นต้องนำไปกำจัดในทางที่ถูกต้องต่อไป
กระบวนการบำบัดน้ำเสียแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. กระบวนการทางกายภาพ
(physical process) เป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียโดยการแยกของแข็งที่ไม่ละลายน้ำออกจากน้ำเสีย
โดยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่
-การดักด้วยตะแกรง (screening) เป็นการดักเศษขยะต่าง ๆ ที่ไหลมากับน้ำเสีย
ซึ่งจะทำในขั้นตอนแรกของการบำบัด
-การตัดย่อย (combination) จะใช้เครื่องตัดย่อยทำการบด ตัดเศษขยะขนาดใหญ่ให้เป็นเศษตะกอนขนาดเล็กเท่า
ๆ กัน
-การกวาด (skimming) เป็นการกำจัดนำมันและไขมันโดยทำการดักหรือกวาดออกจากน้ำเสีย
-การทำให้ลอย (floating) เป็นการแยกตะกอนออกจากน้ำเสียด้วยวิธีทำให้ลอย
ซึ่งจะใช้กับตะกอนที่มีความถ่วงจำเพาะน้อยกว่าน้ำ
-การตกตะกอน (sedimentation) เป็นการแยกตะกอนออกจากน้ำเสียโดยใช้แรงโน้มถ่วง
ซึ่งจะใช้กับตะกอนที่มีความถ่วงจำเพาะมากกว่าน้ำ
-การกรอง (filtration) เป็นการดักตะกอนแขวนลอยขนาดเล็ก ๆ ด้วยชั้นดิน ชั้นทราย ชั้นหินหรืออื่น ๆ
โดยทั่วไปตะกอนส่วนมากจะถูกดักบริเวณผิวชั้นกรองจนเกิดเป็นชั้นฟิล์มบาง ๆ ขึ้น
2. กระบวนการทางเคมี (chemical
process) เป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียโดยการแยกสารต่างๆ
ที่ปนเปื้อนอยู่ด้วยการเติมสารเคมีต่าง ๆ ลงไป เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมี
ที่ทำให้เกิดการแยกสารปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือ
เมื่อเติมสารเคมีลงในน้ำเสียแล้ว ทำให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น
จะมีตะกอนเคมีเกิดเพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายสำหรับสารเคมีค่อนข้างสูง
ดังนั้นกระบวนการทางเคมีจะเลือกใช้ก็ต่อเมื่อน้ำเสียไม่สามารถบำบัดได้ด้วยกระบวนการทางกายภาพหรือชีวภาพ
กระบวนการบำบัดน้ำเสียทางเคมีแบ่งออกได้เป็นหลายกระบวนการ ดังนี้
-การทำให้เกิดตะกอน (precipitation) เป็นวิธีการที่เปลี่ยนสารต่าง ๆ
ที่ละลายอยู่ในน้ำให้อยู่ในรูปที่ไม่ละลายน้ำ
โดยการเติมสารเคมีพวกสร้างตะกอนบางชนิดลงไป เช่น สารส้ม เฟอร์ริกคลอไรด์และปูนขาว
เป็นต้น สารเคมีเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับสารต่าง ๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำ
เกิดเป็นตะกอนแขวนลอยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จะสามารถตกตะกอนได้
-การเกิดออกซิเดชันทางเคมี
(chemical oxidation) เป็นกระบวนการที่เกิดปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียอิเล็กตรอนของอะตอม
วิธีนี้เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนสภาพของสารที่มีพิษมาก
โดยการสูญเสียอิเล็กตรอนให้แก่สารเคมีที่เติมลงไปในน้ำเสียไปเป็นสารที่มีพิษน้อยลงหรือไม่มีพิษเลย
ซึ่งมีสมบัติเป็นตัวออกซิไดซ์ (oxidizing agent) เช่น
การกำจัดสาร Fe2+ ซึ่งมีพิษมากไปเป็นสาร Fe3+ ซึ่งมีพิษน้อย ด้วยคลอรีน ดังสมการ
|
-การเกิดรีดักชันทางเคมี
(chemical reduction) เป็นกระบวนการที่เกิดปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับการรับอิเล็กตรอนของอะตอม
วิธีการนี้เป็นการเปลี่ยนสภาพของสารพิษไปเป็นสารที่ไม่มีพิษเช่นกัน
แต่แตกต่างกันที่อะตอมหรืออิออน ของสารพิษมีการรับอิเล็กตรอนจากสารเคมีที่เติมลงไปซึ่งมีสมบัติเป็นตัวรีดิวซ์
(reducing agent) เช่น การกำจัดสาร Cr6+ ซึ่งมีพิษมากไปเป็น Cr3+ ซึ่งมีพิษน้อยลง ด้วย
เฟอรัสซัลเฟต (FeSO4) ในสภาพกรด ดังสมการ
|
-การสะเทิน (neutralization) เป็นกระบวนการปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของน้ำเสียให้มีฤทธิ์เป็นกลาง (pH = 7) โดยใช้สารเคมีประเภทกรดและด่าง
แล้วแต่ความต้องการในการปรับค่า pH ในกรณีที่น้ำเสียมีฤทธิ์เป็นกรด
(pH < 7) จะต้องปรับสภาพให้มีค่า pH สูงขึ้น ด้วยการเติมด่าง เช่น แคลเซียมคาร์บอเนตหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์
เป็นต้น ส่วนกรณีที่น้ำเสียมีฤทธิ์เป็นด่าง (pH > 7) จะต้องปรับสภาพให้มีค่า
pH ต่ำลงโดยการเติมกรด เช่น กรดซัลฟิวริก กรดไนตริก
กรดเกลือและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
3. กระบวนการทางชีวภาพ
(biological process) เป็นกระบวนการบำบัดน้ำเสียที่สามารถลดปริมาณอินทรีย์สารได้มากที่สุด
โดยอาศัยหลักการใช้จุลินทรีย์ต่าง ๆ
มาทำการย่อยสลายเปลี่ยนสภาพของอินทรีย์สารไปเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแอมโมเนีย
เป็นต้น กระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีนี้ประด้วย
-ระบบโปรยกรอง (trickling
filter) เป็นระบบที่น้ำเสียถูกฉีดเป็นฝอยตกลงมายังก้อนหินที่เลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์อยู่
จุลินทรีย์ที่เกาะอยู่กับก้อนหินเหล่านี้จะย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในน้ำขณะที่น้ำไหลผ่านก้อนหินออกไป
การทำน้ำให้เป็นฝอยเพื่อต้องการให้น้ำเสียมีออกซิเจนอย่างเพียงพอที่จะทำให้จุลินทรีย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนนี้จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งละลายในอากาศออกไป
น้ำที่ผ่านออกไปจะไปสู่ถังตกตะกอน คล้ายกับถังในการบำบัดในขั้นที่หนึ่ง
สิ่งเจือปนในน้ำเสียประมาณ 85 - 90 % จะถูกทำให้เป็นตะกอน
และขจัดออกจากน้ำต่อไป
-ระบบเลี้ยงตะกอน (activated
sludge) เป็นระบบที่ประกอบด้วยถังเติมอากาศและถังตกตะกอน
มีการหมุนเวียนตะกอนจากถังตกตะกอนไปเลี้ยงในถังเติมอากาศโดยจะต้องมีการกวนเพื่อให้จุลินทรีย์ได้สัมผัสกับสารอินทรีย์และออกซิเจนได้อย่างทั่วถึง
เพื่อให้เกิดการย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ ระบบนี้เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียสูง
สามารถลดค่า BOD ได้มากกว่า 90%
-ระบบ oxidation
pond บางที่เรียกว่า stabilization pond หรือ
lagoon เป็นระบบที่ทำให้น้ำเสียได้พักตัวอยู่ในสระ
ซึ่งในสระนี้จะมีปฏิกิริยาการย่อยสลายของสารอินทรีย์เกิดขึ้น
เป็นการอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างบักเตรีและสาหร่ายในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ
บักเตรีจะย่อยสลายสารอินทรีย์ทำให้ได้คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย และแร่ธาตุอื่น ๆ
เมื่อมีแสงแดดสาหร่ายก็ทำให้เกิดขบวนการสังเคราะห์โดยใช้แสงทำให้ได้ออกซิเจนออกมาช่วยในการเกิดปฏิกิริยาการย่อยสลายสารอินทรีย์ต่อไปอีก
ระบบนี้สามารถใช้บำบัดน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดหรือยังไม่ผ่านการบำบัดในขั้นที่หนึ่งก็ได้
และสามารถลดค่า BOD ของน้ำเสียได้ถึงมากกว่า 90 % เช่นเดียวกับระบบเลี้ยงตะกอน
4. กระบวนการทางกายภาพ-เคมี (physical-chemical process) เป็นกระบวนการบำบัดน้ำเสียที่อาศัยวิธีทางกายภาพและเคมีผสมผสานกันและต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง
เครื่องมืออุปกรณ์ค่อนข้างมากกว่ากระบวนการอื่นๆ แต่ประสิทธิภาพของกระบวนการนี้
สามารถบำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพดีจนถึงระดับที่ดื่มได้
นิยมใช้กระบวนการนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำบัดน้ำเสียที่ผ่านกระบวนการอื่นๆ มาแล้ว
การบำบัดด้วยกระบวนการนี้มีหลายขั้นตอนดังนี้
-การดูดซับด้วยถ่าน วิธีการนี้ใช้ผงถ่านหรือคาร์บอนเป็นตัวดูดซับสารเจือปนที่ละลายอยู่ในน้ำทิ้งพบว่าน้ำทิ้งที่ผ่านระบบดูดซับแล้ว
จะมีค่า COD เหลือ 0.5-15 มิลลิกรัมต่อลิตร
ถ่านที่ใช้กันมี 2 ลักษณะคือ
แบบคาร์บอนเป็นเม็ดและแบบคาร์บอนเป็นผงซึ่งนิยมเรียกรวมกันว่า activated
carbon
-การแลกเปลี่ยนประจุ วิธีการนี้ใช้หลักการแลกเปลี่ยนประจุระหว่างสารปนเปื้อนที่มีในน้ำเสียกับตัวกลางที่บรรจุอยู่ในถังแลกเปลี่ยนประจุซึ่งมีทั้งประจุบวกและประจุลบภายในถังแลกเปลี่ยนประจุนั้น
เมื่อมีการผ่านน้ำเสียเข้าไปบำบัดภายในถังแล้วจะมีตะกอนขังอยู่ในถัง
และประสิทธิภาพของตัวกลางในการแลกเปลี่ยนประจุจะลดลง
ดังนั้นควรทำการล้างถังอย่างสม่ำเสมอและทำการปฏิรูปตัวกลางบ่อยครั้งโดยถังตัวกลางเป็นชนิดประจุบวก
จะใช้กรดแก่ ทำการปฏิรูปตัวกลางและถังตัวกลางเป็นชนิดปรุจุลบจะใช้ด่างทำการปฏิรูปตัวกลางของระบบเพื่อให้ประสิทธิภาพของตัวกลางกลับมาเหมือนเดิม
ขั้นตอนการบำบัดน้ำเสีย
ระบบบำบัดน้ำเสีย
โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
1. การเตรียมการบำบัดน้ำเสีย (preliminary
treatment) เป็นขั้นตอนการเตรียมการบำบัดก่อนที่จะให้น้ำเสียผ่านเข้าสู่ระบบการบำบัด
โดยการแยกเอาวัตถุแขวนลอยซึ่งไม่ละลายน้ำ เช่น ขยะและเศษวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ
ออกจากน้ำเสีย การแยกวัตถุแขวนลอยเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน
คือ
ขั้นที่ 1 เป็นการแยกสิ่งแขวนลอยใหญ่ ๆ เช่น ถุงพลาสติก
ขวด และเศษวัสดุอื่นๆ ออกโดยการใช้ตะแกรงเหล็ก
น้ำเสียที่ผ่านขั้นตอนนี้จะยังมีวัตถุแขวนลอยอยู่ แต่จะเป็นพวกที่มีขนาดเล็กและเบา
เช่น เศษดิน อินทรียวัตถุ และเศษวัตถุชิ้นเล็ก ๆ มากมาย
ขั้นที่ 2เป็นการทำให้วัตถุแขวนลอยที่ผ่านมาจากขั้นที่ 1
ตกตะกอน โดยให้น้ำเสียลดความเร็วลง และให้ไหลช้า ๆ
สารแขวนลอยเหล่านั้นจะตกตะกอน จากนั้นทำการแยกตะกอน
และเศษขยะที่ตกอยู่ก้นบ่อออกทิ้งไป
2. การบำบัดข้นที่หนึ่ง
(primary treatment) เป็นขั้นตอนที่ทำให้ของแข็งบางส่วนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ประมาณ 40 - 60 % ของของแข็งแขวนลอย
ของแข็งจะถูกแยกออกจากน้ำเสีย โดยกระบวนการทางกายภาพและทางชีวเคมี
น้ำเสียที่ผ่านขั้นตอนการเตรียมการบำบัดน้ำเสียแล้วจะผ่านเข้าสู่ขั้นตอนนี้
ซึ่งประกอบด้วย ถังตะกอน ที่มีการออกแบบไว้หลายแบบ เช่น บ่อเกรอะ (septic
tanks) หรือ ถังตกตะกอนแบบสี่เหลี่ยมมีเครื่องกวาดตะกอน เป็นต้น
โดยให้การไหลของน้ำให้มีความเร็วน้อยที่สุด เพื่อช่วยให้มีการตกตะกอนดีขึ้น
หรืออาจจะมีการเติมสารเคมีลงไปเพื่อช่วยให้ของแข็งแขวนลอยและสิ่งเจือปนในน้ำมีการจับตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้นและตกตะกอนได้ดีขึ้น
น้ำที่ผ่านขั้นตอนการบำบัดขั้นนี้อาจจะนำไปผ่านขั้นตอนการบำบัดขั้นที่สอง หรืออาจปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยการเติมคลอรีนก่อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ส่วนตะกอนจะนำไปทิ้งหรือนำไปหมักด้วยกระบวนการหมักไร้ออกซิเจน
จะได้ก๊าซชีวภาพนำออกไปเป็นเชื้อเพลิงได้
เศษที่เหลือจากการหมักนำไปทำปุ๋ยหรือทิ้งไป
3. การบำบัดขั้นที่สอง
(secondary treatment) เป็นขั้นตอนการบำบัดน้ำเสียต่อจากการบำบัดขั้นที่หนึ่งในกรณีที่น้ำเสียยังมีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่มากเกินกว่าจะปล่อยออกสู่สภาพแวดล้อมได้
การบำบัดที่ใช้เป็นกระบวนการทางชีวภาพ
เพราะต้องใช้จุลินทรีย์ที่มีการเพาะเลี้ยงมาช่วยในการย่อยสลายสารอินทรีย์วัตถุในน้ำ
การใช้ระบบบำบัดโดยชีวภาพนี้มีหลายระบบได้แก่ ระบบโปรยกรอง ระบบเลี้ยงตะกอน
และระบบ oxidation pond เป็นต้น
4. การบำบัดขั้นที่สาม
(tertiary treatment) เป็นขั้นตอนการบำบัดน้ำเสียต่อจากขั้นที่สอง
ใช้ในกรณีที่ต้องการให้น้ำนั้นมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น
กระบวนการที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นกระบวนการทางกายภาพและทางเคมีรวมกัน เช่น
การกรองและการแลกเปลี่ยนไอออน เป็นต้น
การบำบัดน้ำเสียแบบธรรมชาติ (natural treatment) เป็นวิธีการที่ใช้กลไกทางธรรมชาติเป็นหลักในการบำบัดน้ำเสีย
ซึ่งอาศัยความเกี่ยวข้องกันระหว่าง กระบวนการทางธรรมชาติ ทางกายภาพ ทางเคมี
และทางชีวภาพ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของดินและน้ำ
โดยการบำบัดด้วยวิธีนี้สามารถกำจัดสิ่งเจือปนออกจากน้ำเสียได้ระดับหนึ่ง
และมีวิธีการแบบต่าง ๆ ดังนี้
วิธีบำบัดน้ำเสียแบบกระจายบนดิน (land treatment systems) เป็นวิธีการปล่อยน้ำเสียลงบนพื้นที่เกษตรกรรม
หรือพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ในกิจกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดแต่ต้องใช้พื้นที่มากในการบำบัดน้ำเสีย
การใช้วิธีนี้ต้องคำนึงด้วยว่าในน้ำเสียมีสารพิษปะปนหรือไม่
เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญงอกงามของพืช
และถ้าเป็นพืชที่ต้องนำมารับประทานเป็นอาหาร
อาจจะมีการปนเปื้อนของสารพิษเหล่านั้นในพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้
วิธีบึงประดิษฐ์หรือระบบที่ชุ่มน้ำเทียม
(constructed wetland systems) เป็นวิธีการปล่อยน้ำเสียลงในบึง
ซึ่งสร้างขั้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ การบำบัดน้ำเสียโดยตรง ที่มีความลึกน้อยกว่า 0.6
เมตร มีพืชน้ำซึ่งมีรากอยู่ใต้ดินเจริญเติบโตภายในบึง
ซึ่งใบของพืชเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแผ่นตัวกลางให้พวกแบคทีเรียเกาะได้
และยังทำหน้าที่เป็นตัวกรองและตัวดูดซับสารปนเปื้อนต่าง ๆ ในน้ำเสีย
เพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่น้ำ และป้องกัน ยับยั้งการเจริญเติบโตของสาหร่าย
โดยทำหน้าที่กั้นแสงแดดไม่ให้ส่องลงไปใน
วิธีพืชลอยน้ำ (floating aquatic plant treatment systems) การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีนี้คล้ายคลึงกับระบบบึงประดิษฐ์แบบน้ำอยู่เหนือผิวดิน
ส่วนที่แตกต่างกันคือพืชที่ใช้ในการบำบัด ซึ่งเป็นพืชจำพวกผักตบชวา และ แหน
ความลึกของบ่อมีความลึกมากว่า คือ 50-180 เซนติเมตร
น้ำเสียที่จะเข้าไปบำบัดด้วยวิธีนี้ต้องผ่านการตกตะกอนและการเติมอากาศในระยะเวลาสั้นมาก่อน
เพื่อให้บ่อบำบัดมีปริมาณออกซิเจนตลอดเวลาและเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็น และแมลงต่าง ๆ
มาตอม เมื่อน้ำเสียที่ปล่อยลงบ่อไหลผ่านรากพืชลอยน้ำ ซึ่งมีแบคทีเรียเกาะอยู่บนราก
ก็จะเกิดการบำบัดน้ำเสียขึ้น
ผลกระทบของมลพิษทางน้ำ
ถ้ามลพิษทางน้ำถูกถ่ายเทลงแหล่งน้ำ
โดยไม่มีการบำบัดเสียก่อน จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำดังต่อไปนี้
1 ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม
1.1 การกสิกรรม
น้ำเสียที่ส่งผลกระทบต่อการกสิกรรมนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรม
น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นน้ำเสียที่มีความเป็นกรด
ด่างสูงมีปริมาณเกลือนินทรีย์หรือสารเป็นพิษสูง
น้ำเสียเหล่านี้เกิดจากการปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหล่งน้ำโดยปราศจากการกำจัด
ทำให้แหล่งน้ำมีคุณสมบัติ ที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชและใช้เลี้ยงสัตว์
1.2 การประมง มลสาที่ปนเปื้อนในน้ำ อาจทำให้สัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลา กุ้งตาย หรือค่อยๆ ลดจำนวนลง เนื่องจากไม่สามารถดำรงชีวิตและแพร่พันธุ์ได้ตามธรรมชาติ น้ำเสียที่มีสารพิษเจือปนน้ำให้ปลาตายได้ แต่ถ้าลดไม่มากนักก็อาจทำลายพืช และสัตว์น้ำเล็กๆ ที่เป็นอาหารของปลาและตัวอ่อน ทำให้ปลาขาดอาหารในที่สุด ปลาก็จะลดจำนวนลงทุกที ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อการประมงยิ่งขึ้น นอกจากนี้สารพิษที่สะสมยังทำให้สัตว์น้ำมีคุณภาพไม่เหมาะสมต่อการบริโภคอีกด้วย
1.2 การประมง มลสาที่ปนเปื้อนในน้ำ อาจทำให้สัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลา กุ้งตาย หรือค่อยๆ ลดจำนวนลง เนื่องจากไม่สามารถดำรงชีวิตและแพร่พันธุ์ได้ตามธรรมชาติ น้ำเสียที่มีสารพิษเจือปนน้ำให้ปลาตายได้ แต่ถ้าลดไม่มากนักก็อาจทำลายพืช และสัตว์น้ำเล็กๆ ที่เป็นอาหารของปลาและตัวอ่อน ทำให้ปลาขาดอาหารในที่สุด ปลาก็จะลดจำนวนลงทุกที ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อการประมงยิ่งขึ้น นอกจากนี้สารพิษที่สะสมยังทำให้สัตว์น้ำมีคุณภาพไม่เหมาะสมต่อการบริโภคอีกด้วย
2. ผลกระทบต่อการสาธารณสุข
น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารเจือปน เหล่านี้ทำให้เกิดโรคร้ายแรง ทำลายสุขภาพของประชาชน ทั้งโดยตรงและทางอ้อม เช่น โรคมินามาตะ (Minamata) เกิดจากากรรับประทานปลาที่สารปรอทสูง ผู้ป่วยมีอาการเกี่ยวกับประสาท มือเท้า ขา ถ้าเป็นมากๆ อาจถึงทุพพลภาพและตายได้ โรคอีไตอีไต (Itati -Ttai) เกิดจากการที่ประชาชนใช้น้ำที่มีแคสเมี่ยมในการบริโภคและการเกษตร โรคระบาดหลายชนิด เช่น อหิวาต์ ไข้ไทฟอยด์ โรคบิด เกิดจากน้ำสกปรก เป็นพาหะนอกจากนี้ แม่น้ำลำคลองเน่าเสียยังส่งกลิ่นเหม็นก่อให้เกิดความเดือนร้อนรำคานเป็นการบั่นทอนสุขภาพของผู้อาศัยอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง และผู้สัญจร
น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารเจือปน เหล่านี้ทำให้เกิดโรคร้ายแรง ทำลายสุขภาพของประชาชน ทั้งโดยตรงและทางอ้อม เช่น โรคมินามาตะ (Minamata) เกิดจากากรรับประทานปลาที่สารปรอทสูง ผู้ป่วยมีอาการเกี่ยวกับประสาท มือเท้า ขา ถ้าเป็นมากๆ อาจถึงทุพพลภาพและตายได้ โรคอีไตอีไต (Itati -Ttai) เกิดจากการที่ประชาชนใช้น้ำที่มีแคสเมี่ยมในการบริโภคและการเกษตร โรคระบาดหลายชนิด เช่น อหิวาต์ ไข้ไทฟอยด์ โรคบิด เกิดจากน้ำสกปรก เป็นพาหะนอกจากนี้ แม่น้ำลำคลองเน่าเสียยังส่งกลิ่นเหม็นก่อให้เกิดความเดือนร้อนรำคานเป็นการบั่นทอนสุขภาพของผู้อาศัยอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง และผู้สัญจร
3.ผลกระทบต่อาการอุตสาหกรรม
น้ำเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในขบวนการต่างๆ ของการอุตสาหกรรม เช่น ใช้ในการหล่อเย็น ในการล้าง ใช้ในขบวนการผลิตเป็นต้น ถ้าน้ำในแหล่งน้ำมีคุณภาพไม่เหมาะสม ที่จะใช้ เช่น มีความขุ่นสูง มีความเป็นกรดด่าง และความกระด้างสูงก่อนที่จะน้ำไปใช้ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำให้เหมาะสมก่อน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมรมที่จะต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมากในการผลิต เช่น อุตสาหกรรมรมผลิตกระดาษ อุตสาหกรรมสุรา อุตสาหกรรมสิ่งทอผ้า ฯลฯ นอกจากนี้อุตสาหกรรมประเภทที่ต้องการน้ำที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น อุตสาหกรรมกระดาษและเส้นใย ต้องการน้ำที่มีปริมาณเหล็กและแมงกานิสต่ำมาก ก็ยิ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพน้ำมากขึ้น นอกจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพน้ำแล้ว โรงงานเหล่านี้ยังต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร ที่เสียหายเนื่องจากการที่ใช้น้ำไม่ได้คุณภาพอีกด้วย
น้ำเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในขบวนการต่างๆ ของการอุตสาหกรรม เช่น ใช้ในการหล่อเย็น ในการล้าง ใช้ในขบวนการผลิตเป็นต้น ถ้าน้ำในแหล่งน้ำมีคุณภาพไม่เหมาะสม ที่จะใช้ เช่น มีความขุ่นสูง มีความเป็นกรดด่าง และความกระด้างสูงก่อนที่จะน้ำไปใช้ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำให้เหมาะสมก่อน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมรมที่จะต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมากในการผลิต เช่น อุตสาหกรรมรมผลิตกระดาษ อุตสาหกรรมสุรา อุตสาหกรรมสิ่งทอผ้า ฯลฯ นอกจากนี้อุตสาหกรรมประเภทที่ต้องการน้ำที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น อุตสาหกรรมกระดาษและเส้นใย ต้องการน้ำที่มีปริมาณเหล็กและแมงกานิสต่ำมาก ก็ยิ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพน้ำมากขึ้น นอกจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพน้ำแล้ว โรงงานเหล่านี้ยังต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร ที่เสียหายเนื่องจากการที่ใช้น้ำไม่ได้คุณภาพอีกด้วย
4. ผลกระทบต่อการผลิตน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
น้ำเสียกระทบกระเทือนต่อการผลิตน้ำใช้อย่างยิ่ง แหล่งน้ำสำหรับผลิตน้ำประปาส่วนใหญ่ ได้แก่ ลำคลอง เมื่อแหล่งน้ำเหล่านี้เกิดเน่าเสีย คุณภาพน้ำลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิตเพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มเพิ่มขึ้น เมื่อแหล่งน้ำเสียเพิ่มขึ้น การเลือกแหล่งน้ำเพื่อการประปาก็ยิ่งมาก และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
น้ำเสียกระทบกระเทือนต่อการผลิตน้ำใช้อย่างยิ่ง แหล่งน้ำสำหรับผลิตน้ำประปาส่วนใหญ่ ได้แก่ ลำคลอง เมื่อแหล่งน้ำเหล่านี้เกิดเน่าเสีย คุณภาพน้ำลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิตเพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มเพิ่มขึ้น เมื่อแหล่งน้ำเสียเพิ่มขึ้น การเลือกแหล่งน้ำเพื่อการประปาก็ยิ่งมาก และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
5. ผลกระทบต่อการคมนาคม
การที่แหล่งน้ำมีตะกอนหรือขยะมูลฝอย มาตกทับถมกันมากๆ ทำให้แหล่งน้ำมีสภาพตื้นเขิน การคมนาคมทางน้ำเป็นไปอย่างลำบาก และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขุดลอกอีกด้วย
การที่แหล่งน้ำมีตะกอนหรือขยะมูลฝอย มาตกทับถมกันมากๆ ทำให้แหล่งน้ำมีสภาพตื้นเขิน การคมนาคมทางน้ำเป็นไปอย่างลำบาก และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขุดลอกอีกด้วย
6.ผลกระทบต่อทัศนียภาพ
สภาพน้ำเสียต่างๆที่เกิดขึ้นตามแหล่งน้ำ
จะส่งลกระทบต่อทัศนียภาพและทำลายแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ
ทั้งยังส่งผลถึงความสะอาดของบ้านเมือง และทำลายภาพพจน์ต่างของนักท่องเที่ยวและผู้พบเห็นทั่วไป
7. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
และสังคม
น้ำเสียและน้ำทิ้งต่างๆ
จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ตลาดสด ภัตตาคาร และอื่น จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบบำบัดน้ำเสียน้ำทิ้ง
ซึ่ง กระทบกระเทือนทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นที่รังเกียจของสังคม
เนื่องจากมักจะส่งกลิ่นเหม็นและยังแสดงถึงการกินดีอยู่ดี
และความสะอาดของบ้านเมืองด้วย
สรุป
ดังนั้นปัญหาน้ำเสียคงไม่ใช่แค่ปัญหาของสังคมแต่เป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคนที่ต้องช่วยกันแก้ไข
และมันจะไม่เกิดขึ้นถ้าทุกคนไม่ทิ้งขยะหรือสิ่งปฎิกุลลงแม่น้ำและช่วยกันรณรงค์ต่อต้านโรงงานอุสาหกรรมที่ปล่อยของเสียลงแม่น้ำลำคลอง
แค่นี้ก็จะมีน้ำที่สะอาดใช้และไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น