บทความวิชาการ
ประเด็น
ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยผ่านประชากรชายขอบ
รายวิชา
830329
ปัญหาสังคมและประเด็นสำคัญด้านการพัฒนา
นาย
สุทธิเกียรติ เชาวนันตกุล รหัสนิสิต 53242711
ชั้นปีที่ 3
คณะสังคมศาสตร์
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สาขาพัฒนาสังคม
มหาวิทยาลัยนเรศวร
………………………………………………………………………………..
ประเทศไทยในอดีตนับว่ามีจำนวนประชากรที่เป็นประชากรชายขอบอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่คนเหล่านี้กับไม่เคยได้รับความเป็นธรรมจากสังคมเลย แต่คนในสังคมกับยอมรับความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างคนแต่ละชนชั้นเป็นหลักสำคัญในแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคม ทำให้ความเป็นในสังคมไทยมีลักษณะดังนี้1.การมองหาความเป็นธรรมทางศีลธรรมภายใต้กฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา
ซึ่งจะนำไปสู่การยอมรับความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์
ทุกข์หรือสุขที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละบุคคล 2.เข้าใจความเป็นธรรมอย่างสัมพันธ์กับวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์
3.ยอมรับความยุติธรรมที่สัมพันธ์กับสถานะทางสังคม และ4.ความพยายามสร้างความเป็นธรรมทางสังคมให้เกิดขึ้น แต่ด้วยเหตุที่กลุ่มประชากรชายขอบในสังคมไทยยังถูกมองว่าแตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นความเป็นธรรมทางสังคมจึงเชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของการตระหนักถึงความเท่าเทียมในการเป็นมนุษย์ และการกระจายผลตอบแทนหรือผลประโยชน์จากทางสังคมตามสถานภาพอย่างเหมาะสมนั้น
เป็นสิ่งที่ห่างไกลความเป็นจริงในสังคมไทยอย่างยิ่ง
การศึกษากลุ่มคนชายขอบในสังคมไทยกลุ่มประชากรที่เรียกว่าคนชายขอบได้รับความสนใจศึกษาใสังคมศาสตร์หลากหลายสาขา ทั้งสังคมวิทยามานุษยวิทยา ประชากรศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ในช่วงแรกของการศึกษาคนชายขอบอาจกล่าวได้ว่ามุ่งสนใจความเป็นชายขอบในทางพื้นที่
คือ คนที่อยู่ในชนบทห่างไกลจากศูนย์กลาง โดยเฉพาะการทำความเข้าใจลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างของคนเหล่านั้น
เพื่อการผสมกลมกลืนเข้าเป็นคนในรัฐชาติไทย จากนั้นค่อยขยับมาศึกษาคนชายขอบใน ‘พื้นที่’ อื่นๆ เช่น การเมืองการปกครอง วัฒนธรรม สถานะทางสังคม และเศรษฐกิจ โดยใช้แนวคิดหลายสำนักที่วิพากษ์การพัฒนาไปสู่ความทันสมัยและลัทธิก้าวหน้านิยม
(progressivism) ที่ส่งผลกระทบต่างๆนานาต่อคนในสังคมอย่างขนานใหญ่ การศึกษาคนชายขอบตามความคิดข้างต้นนี้จึงได้แก่ การศึกษาชาวเขาบนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูง คนยากคนจน ทั้งชาวนาชาวไร่ในชนบท และคนจนเมืองในสลัม โดยเฉพาะในมิติของภาวะด้อยโอกาสไร้ที่พึ่ง ความทุกข์ยากวังวนของปัญหา และการทอดทิ้งคนเหล่านี้ให้ตกอยู่ในภาวะชายขอบ
ต่อมาภายหลังจึงได้ขยับขยายประเด็นคนชายขอบไปสู่การศึกษาวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลายจากคนกลุ่มใหญ่ของสังคมมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นคนเก็บขยะ คนขอทาน คนพิการ หาบเร่แผงลอย คนถีบสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับรถบรรทุก เด็กขายพวงมาลัย เด็กเร่ร่อน หญิง/เด็กชายขายบริการ ชาวนาไร้ที่ดิน แรงงานข้ามชาติ แรงงานเหมาช่วง ผู้ป่วยเอดส์ คนไร้รัฐ คนพลัดถิ่น ผู้หญิงคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศ เป็นต้น และมุ่งสนใจศึกษาคนชายขอบเหล่านี้ด้วยแนวคิดและมุมมองที่กว้างขวางมากขึ้นเช่นกัน เช่นงานที่ศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของกลุ่มที่ถูกกดทับไว้ (Subaltern
Studies) ซึ่งสนใจการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมของคนชั้นล่างหรือคนชายขอบที่ถูกกดทับจากกระบวนการต่างๆ ในสังคมและศึกษากลไกของการก่อรูปสถานะที่เป็นอื่นให้กับกลุ่ม subaltern ที่ไม่สามารถ ‘พูด ’ เรื่องของตัวเองได้
เนื่องจากถูกคนอื่นกำหนดอัตลักษณ์ที่ ‘เป็นอื่น’ ให้ รวมทั้งถูกพูดถึง เขียนถึง และบันทึกไว้โดยคนอื่น
งานส่วนใหญ่ในแนวการศึกษาดังกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นถึงประสบการณ์ของการถูกทำให้เป็นคนชายขอบ กระบวนการทอดทิ้งและเบียดขับให้คนบางกลุ่มเหล่านี้ตกอยู่ในภาวะชายขอบ
หรือเป็น ‘คนอื่น’ ของสังคม การอยู่ในสภาวะที่ไร้อำนาจต่อรองในการใช้ชีวิต การเรียกร้องต่อสู้ด้านสิทธิและความเป็นธรรม การสร้างและผลิตซ้ำภาพเหมารวมตายตัวของคนชายขอบกลุ่มต่างๆ
การขาดโอกาสในการเข้าร่วมตัดสินใจเรื่องต่างๆ และเข้าไม่ถึงส่วนแบ่งทรัพยากรจากภาครัฐ ทั้งหมดล้วนสะท้อนให้เห็นความไม่เป็นธรรมที่กลุ่มคนชายขอบกำลังเผชิญ ด้วยการเปิดเผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนชายขอบกับโครงสร้างเชิงอำนาจของสถาบันต่างๆในสังคม และสะท้อนให้เห็นกระบวนการจัดการความเป็นธรรมในสังคมและประสบการณ์ที่ไม่เป็นธรรมของคนชายขอบนั่นเอง
ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงคนชายขอบ เช่น คนจน ซึ่งถือว่าเป็นชนชายขอบในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร
ฯลฯ นอกจากนี้ คนจนยังมีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในความยากจนมากมายเช่น รายได้ที่พอเพียงต่อการดำรงชีวิต มาตรฐานการครองชีพ ภาวะโภชนาการ การศึกษา เส้นแบ่งความยากจนคุณภาพชีวิต ฯลฯ ตัวชี้วัดดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดความยากจน และส่งผลกระทบต่อการถูกเลือกปฏิบัติตามมาปัญหาความไม่เป็นธรรมของคนจนจึงได้แก่ การได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐ คือไม่มีสิทธิในที่ดินทำกิน
ต้องแบกรับความเสี่ยงในการผลิตทั้งหมดเอง ถูกเพิกถอนสิทธิพื้นฐานให้เข้าไม่ถึงบริการและสวัสดิการของรัฐ
มีมาตรฐานการครองชีพที่ต่ำ ทั้งทางด้านสุขภาวะ การศึกษา และเศรษฐกิจ และคนจนเหล่านี้ไม่มีอำนาจต่อรองทั้งในทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ไม่มีอำนาจในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น รวมทั้งไม่ได้รับและเข้าไม่ถึงความเป็นธรรมในสังคมด้วย
ว่าด้วยการเป็นประชากรชายขอบในสังคมไทยคือ
คนชายขอบเกิดขึ้นในสังคมหนึ่งๆ ได้ด้วยหลายวิธีคิด หนึ่งในนั้นคือ แนวคิดคู่ตรงข้ามที่แบ่งแยกเรา-เขา คนใน-คนนอก ทำให้เกิดการรวมเอาคนที่มีอัตลักษณ์ร่วมไว้เป็นพวกเดียวกัน และกีดกันคนบางกลุ่มที่มีความแตกต่างให้กลายเป็นคนนอก เป็นคนอื่น สังคมไทยซึ่งผ่านกระบวนการสร้างชาติด้วยวิธี
“รวม” เอาคนที่เคยมีอัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ฯลฯ หลากหลายแตกต่างกันให้มายึดถือเอกลักษณ์แห่งชาติร่วมกันเพื่อสร้างความเหมือนๆ กันให้กับคนในชาติเดียวกัน จึงได้สร้างแนวคิดที่มองความแตกต่างหรือความไม่เหมือนกับเอกลักษณ์ของชาติเป็นคนอื่น
ทั้งยังสร้างภาพเหมารวมเชิงอคติต่อคนที่มีอัตลักษณ์แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง
เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม ชาติพันธุ์ และศาสนา และฝังใจว่าคนกลุ่มต่างๆ เหล่านั้นมีลักษณะบางอย่างที่แปลกแยกแตกต่างกับคนส่วนใหญ่เสมอมา
ที่สำคัญก็คือ คนส่วนใหญ่ในสังคมยังเห็นว่าการถูกเลือกปฏิบัติ ถูกแสวงประโยชน์เชิงโครงสร้างจากรัฐในรูปแบบต่างๆ การถูกกีดกัน แย่งชิงทรัพยากร หรืออยู่ในอันดับท้ายๆ ของการจัดสรรทรัพยากรโดยภาครัฐการไม่ได้รับสิทธิหรือเข้าไม่ถึงบริการต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งการดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบาก แร้นแค้น ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตของกลุ่มคนชายขอบเหล่านี้ เป็นเพียงความไม่เป็นธรรมที่เป็นปัญหาของ “คนอื่น” ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง สังคมส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึก
เดือดเนื้อร้อนใจหรือห่วงใยกังวลไม่ได้คิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์พื้น ฐานของสังคมที่ทุกคนมีเสมอเหมือนกัน
ไม่ยินดียินร้ายในชะตากรรม หรือเป็นทุกข์แทนคนเหล่านั้นแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องสิทธิของคนพิการในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชน การชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ปากท้อง ราคาพืชผล ของชาวนาชาวไร่และคนยากจน การชุมนุมประท้วงเพื่อยุติโครงการพัฒนาของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ทั้งเขื่อน โรงไฟฟ้า ท่าเรือ โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ของชาวบ้านในภูมิภาคต่างๆ การเรียกร้องขอเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
ของแรงงาน หรือ กรณีการถูก เพิกถอนสัญชาติของคนที่อยู่อาศัยในอำเภอแม่อาย จังหวัด เชียงใหม่
การเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น
การมองให้เห็นคนชายขอบที่อยู่นอกสายตาของรัฐในสังคมไทย
จึงไม่ได้เพียงมุ่งความสนใจไปยังผู้คนในพื้นที่ห่างไกลศูนย์กลางอย่างชายแดนทางภูมิศาสตร์เท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงมิติที่ซับซ้อนของการดำรงชีวิตในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วยการรับรู้ถึงผู้คนที่อยู่ชายขอบในมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนา วัฒนธรรม
รวมทั้งผู้คนที่อยู่นอกการรับรู้ของสังคมส่วนใหญ่อีกด้วย ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการมองให้เห็นคนชายขอบเหล่านี้ก็คือ การเปลี่ยนทัศนคติที่เคยมองว่าการเป็นคนชายขอบเป็นความไม่เท่าเทียมตามธรรมชาติที่ปกติธรรมดา
เป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ในทุกสังคม อาจจะเนื่องจากชาติกำเนิด โชค เคราะห์กรรม ฯลฯ ไปสู่การเข้าใจปรากฏการณ์ไม่เป็นธรรมที่คนชายขอบเผชิญอย่างสัมพันธ์กับโครงสร้างเชิงอำนาจรูปแบบต่างๆ
ที่กำหนดให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมนี้ดำรงอยู่ได้
กระบวนการที่ทำให้เป็นชายขอบในสังคมไทย คือกระบวนการที่ทำให้เป็นคนบางกลุ่มกลายเป็นคนชายขอบ รวมทั้งการสร้างภาวะชายขอบให้กับคนบางกลุ่มในสังคมไทยนั้น สัมพันธ์กับหลากหลายมิติ ทั้งทางภูมิศาสตร์ การเมือง สังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ฯลฯ
ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ กระบวนการทำให้เป็นชายขอบที่สัมพันธ์กับโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทย ซึ่งผู้มีอำนาจครอบนำการจัดประเภทกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม โดยรวมเอาผู้ที่มีอัตลักษณ์เหมือนๆ กันไว้และกีดกันคนที่มีอัตลักษณ์แปลกต่างจากคนส่วนใหญ่ให้ไปอยู่ชายขอบของสังคม กระบวนการที่ทั้งผลักคนออกและรวมคนไว้ให้อยู่ในภาวะชายขอบของสังคมไทยที่ว่านี้
ได้แก่
(1) กระบวนการสร้างรัฐชาติไทย และกระบวนการสร้างความเป็นไทย
(Thai-isation) ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยการก่อตัวของรัฐชาติและลัทธิชาตินิยมที่มีการสถาปนาความเป็นรัฐขึ้น
มีการกำหนดดินแดนอาณาเขตและลากเส้นพรมแดนระหว่างประเทศ สำรวจรวมผู้คนไว้ในรัฐชาติเดียว
อยู่ภายใต้ระบบการปกครองเดียวกันทั้งประเทศ และสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติที่เป็นแบบแผนเดียวกันให้ทุกคนยึดถือร่วมกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะนำไปสู่เอกราชหรือความเป็นชาติเดียวกันได้ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ต่างวัฒนธรรมที่เคยอาศัยอยู่ปะปนกันในดินแดนแถบนี้จำนวนไม่น้อยจึงกลายเป็นคนชายขอบและต้องตกอยู่ในภาวะชายขอบไปโดยปริยาย เนื่องจากมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากมาตรฐานของศูนย์กลาง และมีชีวิตประจำวันที่ต่างออกไปจากวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งมักจะอยู่ภายใต้วาทกรรมที่ว่า เพราะไม่เหมือนจึงไม่เป็นไทย และมักนำไปสู่ความเชื่อว่าความแตกต่างเหล่านั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้โดยง่าย
(2) การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย (modernisation) แม้สังคมไทยจะได้ชื่อว่าไม่ได้ตกอยู่ในอาณานิคมของมหาอำนาจชาติใด
แต่กระบวนการพัฒนาประเทศให้เป็นตะวันตก (westernisation)และการทำให้ไทยเป็นชาติทันสมัยด้วยเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีนิยม เป็นแนวทางพัฒนาหลักที่รัฐไทยใช้สร้างประเทศ เช่นเดียวกับการพัฒนาที่เป็นกระแสหลักของโลก ภายใต้การดำเนินนโยบายพัฒนาด้วยระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม คือเลือกปฏิบัติ ให้ความสำคัญกับเขตเมืองส่วนกลางมากกว่าภาคชนบทส่งเสริมอุตสาหกรรมมากกว่าเกษตรกรรม หรือเลือกที่จะส่งเสริมบางส่วนของภาคเกษตร ทำให้คนบางกลุ่มถูกทอดทิ้ง ถูกกันออกจากกระแสพัฒนา ไม่ถูกให้ความสำคัญ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการพัฒนาเท่าเทียมกับคนกลุ่มอื่น กลายเป็นผู้ด้อยโอกาสจากการพัฒนาเศรษฐกิจ
(3) การขยายตัวของทุนนิยมและกระแสโลกาภิวัฒน์
(Globalisation) เมื่อสังคมไทยขับเคลื่อนไปด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ที่ยังมีข้อโต้แย้งในแง่ของความเป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรและความต้องการผ่านกลไกตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งไม่ได้เป็นกลไกจัดสรรทรัพยากรที่ดีที่สุด และนำไปสู่ การสร้างความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางกีดกันให้คนบางกลุ่มไร้อำนาจต่อรองกับตลาดกลายเป็นคนชายขอบ ขณะเดียวกันภายใต้การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เศรษฐกิจทุนนิยมไร้พรมแดนแผ่ขยายครอบโลกอย่างเสรี
ก็มีข้อสังเกตว่ายิ่งแสดงให้เห็นความขัดแย้งกับประชาธิปไตย และยิ่งขยายช่องว่างระหว่างชนชั้นและความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากช่องว่างระหว่างรายได้ของคนจนและคนรวยที่ห่างกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาวะชายขอบที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์จึงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกผู้คนทุกหนทุกแห่ง และในรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แม้จะอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ สังคมวัฒนธรรม การศึกษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ หรือแม้แต่ทางเศรษฐกิจ ในแง่นี้ ความเป็นคนชายขอบจึงไม่ได้เป็นเพียงการถูกกันให้ไปอยู่ในตำแหน่งทางสังคมที่ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ
หรืออำนาจเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความรู้และความจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาอธิบาย กลายเป็น ‘สามัญสำนึก’ ที่รับรู้และเข้าใจกันโดยไม่ต้องตั้งคำถาม
คนชายขอบเองก็อาจจะรับหรืออ้างอิงไปเป็นความจริงเกี่ยวกับตัวเองด้วย รวมทั้งมีการต่อต้าน โต้แย้ง ปฏิเสธในเวลาเดียวกัน การทำความเข้าใจหรือมองให้เห็นปรากฏการณ์ของคนชายขอบ อันรวมถึงความเป็นคนชายขอบ และกระบวนการทำให้เป็นคนชายขอบนั้นจึงมักเน้นการศึกษาให้ครอบคลุมถึงวาทกรรมและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
ที่กำหนดความหมายทางสังคมและภาพฝังใจที่ตายตัวให้กับคนกลุ่มต่างๆ ร่วมด้วย
กล่าวโดยสรุปเห็นได้ว่าปัญหาของการจัดประเภทคนบางกลุ่ม เป็นคนชายขอบนั้นเกิดขึ้นจากกระบวนการใช้อำนาจในโครงสร้างความสัมพันธ์ที่คนส่วนใหญ่มีเหนือกว่าในรูป แบบต่างๆ สร้างวาทกรรมที่กำหนดการรับรู้การจัดประเภทและแนวคิดจำแนกแยกพวก
(exclusion) คนในสังคมขึ้น โดยปฏิบัติการเชิงอำนาจของวาทกรรมการจำแนกแยกพวกในมิติต่างๆ
ยังทรงอิทธิพลอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ของสังคมไทยมาตราบจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าจัดการปัญหาบางอย่างเช่น
ปัญหาความมั่นคง ปัญหายาเสพติด และปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ทั้งยังมีกลุ่มคนที่ตกอยู่ในภาวะชายขอบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในสังคมสมัยใหม่
เช่น แม่วัยรุ่น พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุผู้ติดเชื้อเอดส์/เอชไอวี ผู้ติดยาเสพติด คนรักเพศเดียวกัน ที่ถือเป็นคนชายขอบในสวัสดิการสังคม
เป็นต้น
จากคนชายขอบสู่วัฒนธรรมความยุติธรรมในสังคมไทยคือ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยผ่านการปฏิบัติกับประชากรชายขอบนั้นสมควรพิจารณาถึงวัฒนธรรมความยุติธรรมในสังคมไทยควบคู่ไปด้วย เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำคัญของการให้ความหมายกับความยุติธรรม
ความคิดเรื่องความเป็นธรรมที่มีนัยยะหมายถึงโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงส่วนแบ่งทรัพยากรและคนด้อยโอกาสควรมีสิทธิได้รับบริการจากรัฐให้สามารถมีชีวิตและโอกาสที่เท่าเทียมกับคนอื่นนั้น เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็มีความคิดความเชื่อหลายประการที่มองไม่เห็นว่าทุกคนในสังคมมีความเป็นมนุษย์เท่ากัน
และควรมีสิทธิได้รับความเป็นธรรมเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ดี ภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมอุปถัมภ์และระบบศีลธรรมทางพุทธศาสนา
ซึ่งไม่มีคำสอนในเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม มีแต่เพียงคำสอนให้ปฏิบัติหน้าที่แบบต่างตอบแทนต่อกันของผู้ที่อยู่ในสถานภาพต่างๆกัน สังคมไทยจึงไม่เคยมีความคิดเรื่องความยุติธรรมหรือความเป็นธรรมเป็นแก่นสำคัญในแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคมแต่อย่างใด
ในทางตรงข้ามความยุติธรรมในสังคมไทยหมายถึงการยอมรับความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างคนในแต่ละชั้นทางสังคม โดยให้อำนาจผู้นำในแต่ละยุคสมัยเป็นผู้จัดสรรความยุติธรรมกล่าวคือ ความยุติธรรมในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีที่มาจากพุทธศาสนา
ความยุติธรรมคือความถูกต้องตามหลักธรรมะของพุทธศาสนา และเป็นฐานทางความคิดให้แก่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน เนื่องจากพระมหากษัตริย์ซึ่งมีความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองนั้น เป็นแหล่งที่มาของความยุติธรรม ประชากรไทยไม่เคยเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน
และเป็นปัจเจกชนไร้สังกัดที่มีความสัมพันธ์กันตามแนวนอนแต่อย่างใด ลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าความเป็นธรรมในสังคมไทย
อาจแยกออกได้เป็นส่วนๆ ดังนี้ ความเป็นธรรมภายใต้ระบบศีลธรรมและศาสนา คือการที่สังคมไทย ไม่รู้สึกอ่อนไหว
ต่อความไม่เป็นธรรมทางสังคมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นอิทธิพลของพุทธศาสนาที่ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่อธิบายโลกธรรมชาติเท่านั้น
แต่ยังเป็นระบบความเชื่อทางศีลธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลด้วยหลักความสัมพันธ์ระหว่างเหตุคือ
การกระทำ (กรรม) กับผลของการกระทำนั้นๆ
(วิบาก) ที่ดำเนินไปตามกระบวนแห่งเหตุปัจจัย โลกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหาและความทุกข์
จึงต้องข้ามไปด้วยการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นและเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
ทัศนะเรื่องความยุติธรรมของสังคมไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธเถรวาท
เนื่องจากศาสนาพุทธยอมรับความเป็นธรรมตามกฎแห่งกรรม ความยุติธรรมในทางพุทธศาสนาไม่ได้ตัดสินโดยยึดความเท่าเทียมกันของมนุษย์เป็นเกณฑ์
ไม่ได้ถือว่าผู้ทำความผิดเดียวกันย่อมได้รับโทษเดียวกันเช่นในทางกฎหมาย แต่อยู่ที่กรรมที่ทำมาของแต่ละคน ใครทำกรรมมาอย่างไรก็ควรได้รับผลอย่างนั้น ทุกคนเสมอภาคกันในแง่ของโอกาสในการทำความดีและการได้รับผลกรรมตามที่ทำไว้
ซึ่งสามารถข้ามภพไปยังโลกหน้าได้ด้วย ในแง่นี้ ‘กรรม’ จึงเป็นพื้นฐานความคิดสำคัญในการพิจารณาเรื่องความเป็นธรรม ความยุติธรรมที่อิงอยู่กับกฎศีลธรรมมีลักษณะดังนี้คือ
1.ใช้กฎแห่งกรรมหรือหลักทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นหลักประกันความยุติธรรม
นั่นคือการยอมรับว่ามีความดีและความชั่วที่เป็นภววิสัยอยู่จริงไม่ใช่เรื่องของสังคมวัฒนธรรม
กรรมที่มนุษย์กระทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมมีผลจริงเป็นความสุขหรือทุกข์ในที่สุด
สิ่งนี้คือกฎสากลแห่งความยุติธรรมสูงสุดเป็นหลักประกันว่า ทุกคนจะได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกัน โดยนัยนี้ คำสอนเรื่องกรรมเปิดโอกาสให้ความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ในทุกมิติกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
เป็นเรื่องที่เหมาะสมและเป็นธรรม การแบ่งชนชั้นและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นเรื่องธรรมดา
และชอบธรรมแล้วตามกฎแห่งกรรม และ 2. การผนวกแนวคิดเรื่องกรรมกับการเกิดใหม่เข้าด้วยกันเป็นความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดซึ่งแม้จะเป็นคำอธิบายเพิ่มเติมและยืนยันว่าการรับผลของกรรมนั้นเป็นไปได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าแต่ก็กลายเป็นข้อโต้แย้งต่อความคิดเรื่องความยุติธรรมทางศีลธรรมของพุทธศาสนาในหลายประเด็นเช่น
การรับผลกรรมในโลกหน้านั้นขัดต่อหลักการพื้นฐานแห่งความยุติธรรมที่ผู้ถูกลงโทษต้องรู้และเข้าใจความผิดของตัวเอง
แต่การเกิดใหม่โดยมีผลกรรมบางอย่างติดตัวไปด้วยนั้นไม่ได้ส่งผลต่อความก้าวหน้าทางศีลธรรม
ส่งผลไปสู่การมองว่า กรรมเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองตามยถากรรม
มองทุกข์ที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นเรื่องของปัจเจกแต่ละคน แยกตัวโดดเดี่ยวจากคนอื่น ทุกข์หรือสุขที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นความรับผิดชอบตามกฎศีลธรรม
หน้าที่ของแต่ละคนคือสร้างกรรมให้ดีที่สุด และไม่ควรเข้าไปแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องกับความสุขหรือความทุกข์ของคนอื่น
เพราะเป็นผลกรรมของแต่ละคน หากมองแง่นี้ การแก้ไขปัญหาสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจึงกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม
เพราะไปละเมิดกฎแห่งความเป็นธรรมแม้ตรรกะของคำสอนทางพุทธศาสนาลักษณะนี้จะชี้นำให้ยอมรับความแตกต่างที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตปัจจุบันมากกว่าความเข้าใจว่า ความไม่เท่าเทียมกันและการกดขี่ทางสังคมบางอย่างแสดงถึงความไม่เป็นธรรมแต่อาจสรุปได้ว่า ภายใต้ความเป็นธรรมทางสังคมในทัศนะของศาสนาพุทธนั้น การกระทำใดๆ ที่ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลในธรรมชาติ
(ปฏิจจสมุปบาท) ก็ถือว่าถูกต้องและเป็นธรรม ความเป็นธรรมจึงหมายถึง
การที่บุคคลได้รับผล (ประโยชน์) ตอบแทนตามความเหมาะสมแห่งเหตุปัจจัยสถานภาพและการกระทำของตน
และมีความเป็นธรรมอยู่ 2 ระดับ คือ ความยุติธรรมทางศีลธรรมหรือความยุติธรรมตามธรรมชาติที่อิงอยู่กับคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรม
และความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งหมายถึง ความเที่ยงธรรม(fairness) ในด้านต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในสังคม การกระจายรายได้หรือสวัสดิภาพทางสังคมและการได้รับโอกาสในการพัฒนาชีวิตไปตามเป้าหมายที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของปัจเจกบุคคลด้วย
ความเป็นธรรมภายใต้ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ คือความสัมพันธ์ทางสังคม และอาจรวมถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจทางการเมืองของไทยในช่วงที่เป็นรัฐก่อนสมัยใหม่นั้นอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางกับไพร่
ซึ่งกำลังคนในปกครองมีความสำคัญมากกว่าเชื้อชาติ ความสัมพันธ์ทางสังคมของรัฐไทยโบราณนั้นเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจความภักดีค่อนข้างแคบและเปราะบาง
ด้วยขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งหรืออ่อนแอของชนชั้นปกครอง ดังนั้นในความสัมพันธ์แบบบรรณาการและกลไกการควบคุมกำลังคนที่ไม่ได้มีผลสัมฤทธิ์นัก วิถีทางวัฒนธรรมหรือความสัมพันธ์แบบนายบ่าวที่ถูกกำกับโดยคุณธรรมทางศาสนา จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยึดโยงความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์นี้ให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
โครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะการเลิกควบคุมกำลังคนเข้าไว้ในสังกัด ระบบขึ้นต่อศูนย์อำนาจหลวมๆ แบบเก่าถูกแทนที่ด้วยการใช้แนวคิดแบบอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนแบบใหม่ มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรมที่กลายเป็นกลไกการใช้อำนาจตามบรรทัดฐานใหม่ในการปกครอง นั่นคือประมวลกฎหมายฉบับต่างๆ ซึ่งกลายเป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่างหน้าที่สาธารณะกับผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่วัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ยังคงมีบทบาทสำคัญในเครือข่ายทางสังคมที่ประกอบด้วยคนในชนชั้น
สถานะ และฐานะสูงต่ำไม่เท่ากัน การยืนยันสิทธิและความเสมอภาคระหว่างบุคคลไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด ความคิดเรื่องความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องของแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างคนในชั้นทางสังคมที่มีสถานภาพ
(ตามชาติกำเนิด) อำนาจ และสิทธิไม่เท่าเทียมกัน
โดยคนในแต่ละชั้น ทางสังคมรับรู้อัตลักษณ์สถานภาพ และหน้าที่ที่แตกต่างของตัวเอง
ผ่านการสร้างระบบสัญลักษณ์ พิธีกรรม และวิธีปฏิบัติต่างๆของรัฐในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี้ยอมรับว่า ความยุติธรรมคือการได้และการเสียสิ่งต่างๆ ตามสถานภาพทางสังคมที่ตนมีอยู่ ความไม่เสมอภาคจึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรม
โดยนัย พุทธศาสนาไม่ได้เป็นรากฐานของความยุติธรรมอีกต่อไป
หากแต่เป็นพระปัญญาบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ ผู้มีชาติกำเนิดเป็น ‘เจ้า’ (royalty) ดังที่สมเด็จ ฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชี้แจงว่า
เฉพาะคนที่เกิดมาเป็น ‘เจ้า’ เท่านั้นที่มี
‘ideal’ ซึ่งแปลว่า ‘ศีลธรรม’ ผู้นำหรือพระมหากษัตริย์จึงย่อมมี ‘ศีลธรรม’ สูงส่งเหนือผู้อื่น ส่วนประชาชนคือคนที่ยังโง่อยู่ ย่อมไม่รู้ว่าอะไรคือความยุติธรรม
ต้องรอให้พระมหากษัตริย์ทรงอำนวยความยุติธรรมให้บังเกิดแก่ชีวิตของทุกคนในรัฐ ดังนั้น พระบรมราชโองการคือแหล่งที่มาของความยุติธรรมชีวิตของประชาชนจึงขึ้นอยู่กับ
ความยุติธรรมที่รัฐเป็นผู้อำนวยให้มากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด การได้รางวัลและการลงโทษมาจากรัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากขึ้น
ความเป็นธรรมในยุคตามผู้นำอิทธิพลของวัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่ส่งผ่านและยังคงหลงเหลืออยู่ในแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยนั้นทำให้การจัดสรรอำนาจ
ทรัพยากร และผลประโยชน์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง มีลักษณะเล่นพรรคเล่นพวกซึ่งทำให้การปกครองโดยหลักนิติธรรมพัฒนาได้ช้ามากในสังคมไทย
ดังที่ปรากฏว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 แนวคิดสำคัญหนึ่งที่มีอิทธิพลในการสร้างรัฐชาติไทยก็คือ
ลัทธิผู้นำ (Elitism) ซึ่งเห็นว่าการพัฒนาชาติขึ้นอยู่กับผู้นำที่มีบุคลิกภาพพิเศษ รวมทั้งมีสติปัญญาและคุณธรรมเหนือกว่าผู้อื่นผู้นำชาติจึงสำคัญต่อชะตากรรมของคนในชาติ มีอำนาจสูงสุดที่จะปกครองให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข หรืออยู่ดีกินดี นำไปสู่การยอมรับอำนาจและความสำคัญของผู้นำ โดยเฉพาะในฐานะผู้อำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนเสมอหน้ากันตามแต่สถานภาพ
ความยุติธรรมในที่นี้ จึงเป็นความไม่เสมอภาคโดยไม่ขัดต่อค่านิยมเชิงศีลธรรมที่ยึดถือกันอยู่ในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นการรู้จักที่ต่ำที่สูง
ความกตัญญูกตเวที ความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ความเสียสละ การถือว่าส่วนรวมสำคัญว่าส่วนย่อย
ซึ่งเปิดโอกาสให้รัฐสามารถกระทำการใดๆ ในนามของผลประโยชน์ของชาติหรือสังคมส่วนรวมได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความยุติธรรม
ดังที่หลวงวิจิตรวาทการระบุว่า “สิทธิที่จะทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมนั้นควรรอนเสียได้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เพราะถ้าปล่อยให้ประโยชน์ส่วนตัวบุคคลขัดกับประโยชน์ส่วนรวมอยู่ได้แล้ว ก็เป็นทางแห่งความล่มจมของชาติ”
ดังนั้น ภายในสังคมไทย เรียกว่า สังคมอินทรียภาพแบบพุทธนั้นมีแนวคิดพื้นฐานที่เน้นว่า
สังคมจะปกติสุขและเคลื่อนตัวพัฒนาไปได้ก็ต่อเมื่อหน่วยต่างๆ ของสังคมรู้จักหน้าที่ของตนและทำงานอย่างประสานสอดคล้องกัน
(harmony) เปรียบเสมือนอวัยวะต่างๆ ของร่างกายซึ่งมีหน้าที่ต่างๆ กัน ความสำคัญไม่เท่ากัน แต่ต้องประสานสอดคล้องกันจึงจะไม่เจ็บป่วย สังคมไทยจึงประกอบด้วยผู้คนที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน และต้องยอมรับความสูงต่ำนั้นในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
การเชื่อฟังผู้ นำและการรับ ผลประโยชน์จากการทำหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันนั้นจึงเป็นคุณสมบัติอันจำเป็นของบุคคลที่สังกัดขึ้นต่อผู้อื่นมากกว่าจะเป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพซึ่ง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของปัจเจกชน
ดังจะได้เห็นได้ชัดเจนในเรื่องผลกระทบสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย
ก็คือ การผลักกรรมกรและชาวนาให้กลายเป็นชนชายขอบผู้อยู่ห่างไกลจากการได้รับความยุติธรรม
ขณะที่ผู้นำรัฐยังคงอยู่ในฐานะเป็นแหล่งที่มาของความยุติธรรม ซึ่งยังคงมีความหมายอย่างแคบที่เป็นเพียงการทำหน้าที่และแสวงหาความเจริญก้าวหน้าของตนตามชั้นทางสังคมนั้นๆ
โดยไม่ก้าวก่ายผู้อื่น ความยุติธรรมจึงไม่ได้หมายถึงการกระจายรายได้อย่างเสมอภาค ไม่ใช่การแข่งขันอย่างเสรีในภาคเศรษฐกิจ
ไม่รังเกียจที่จะใช้ความสัมพันธ์ที่เป็นคุณในระบบอุปถัมภ์ซึ่งไม่เสมอภาคและขาดเสรีภาพในการแลกเปลี่ยน
ในแง่นี้ ความยุติธรรมจึงไม่ได้หมายถึงความเป็นธรรมทางสังคมแต่อย่างใด
ความยุติธรรมสมัยใหม่และความเป็นธรรมทางสังคมระบบยุติธรรมในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศใน พ.ศ. 2475 เมื่อเปลี่ยนอำนาจตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมาจากปวงชนชาวไทย แทนที่จะมาจากพระมหากษัตริย์ดังแต่ก่อน พระมหากษัตริย์เป็นเพียงผู้ใช้อำนาจตุลาการทางศาลในนามของปวงชนชาวไทย และเป็นการใช้อำนาจภายใต้กฎหมายที่บัญญัติขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีการกำหนดในรัฐธรรมนูญถึงสิทธิในชีวิตในเสรีภาพ ในทรัพย์สิน หน้าที่ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชนทุกคน อันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์
ความคิดสำคัญที่แฝงอยู่ในระบบยุติธรรมปัจจุบันคือ distributive justice ซึ่งเกี่ยวพันกับการแบ่งสรรปันส่วนสิทธิอำนาจหน้าที่ และภาระความรับผิดชอบในหมู่สมาชิกของสังคม
ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา
กล่าวได้ว่ามีการขยายตัวของปริมณฑลสาธารณะ ภาคประชาสังคม และการเมืองภาคประชาชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย โดยเฉพาะการขยายตัวของสิทธิทางการเมือง (political right) และสิทธิพลเมือง
(civil right) นำไปสู่การเคลื่อนไหวเรียกร้องและผลักดันประเด็นปัญหาภายใต้แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในมิติของความเท่าเทียมเสมอภาคกันทางสังคม ทั้งนี้อาจเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในสังคมไทยอย่างขนานใหญ่ช่วงทศวรรษ
2500 เป็นต้นมาเช่น พื้นฐานเศรษฐกิจของภาคเอกชนพัฒนาเข้มแข็งขึ้น การขยายตัวเพิ่มขึ้นของความรู้และวิชาชีพต่างๆขณะที่ภาคเกษตรกรรมในชนบทก็มีการเคลื่อนตัวและขยายประสบการณ์กว้างขวาง การแบ่งแยกชนชั้นสูงต่ำตามฐานะทางเศรษฐกิจและรสนิยมทางวัฒนธรรมคลายตัวลง เปิดพื้นที่ให้อัตลักษณ์และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นมากขึ้น การเคารพสิทธิพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ภาคประชาสังคมขยายตัวกว้างขวางในทุกประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคม
โดยเฉพาะในฐานะพลังต่อรองกับภาครัฐและภาคเศรษฐกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นปัจเจกชนสูงขึ้น
เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น รวมทั้งรู้สึกมีส่วนร่วม กล้าแสดงออก และแสดงความคิดเห็นทางสังคมและการเมืองในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น
ขณะเดียวกัน
ผลกระทบจากการพัฒนาภายใต้แนวคิดก้าวหน้านิยม
(progressivism) ทำให้เกิดคำถามในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคเอกชนหรือตลาดด้วยการเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กลับส่งผลเป็นความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ความมั่งคั่งและอิทธิพลครอบนำของอภิสิทธิ์ชน การเมืองที่ยุติธรรม
และเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามและตรวจสอบความไม่เป็นธรรมในมิติทางสังคมวัฒนธรรมและมิติอื่นๆ มากขึ้น ทั้งยังกล่าวได้ว่า กระบวนทัศน์ในเรื่องความเป็นธรรมของสังคมไทยยังได้รับอิทธิพลจากการขับเคลื่อนความคิดและการเคลื่อนไหวทางสังคมในระดับสากล
ทั้งจากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน คุณภาพชีวิต การเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐาน การแก้ปัญหาความยากจนความเสมอภาคระหว่างหญิง-ชาย ประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนทำให้ประเด็นความเป็นธรรมทางสังคมกลายเป็นประเด็นถกเถียงและถูกผลักดันอย่างกว้างขวางในสังคมตลอดมา โดยเฉพาะในการต่อสู้เรื่องสิทธิสังคมสิทธิชุมชน ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมทางการเมือง
และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการต่อสู้ต่อรองระหว่างรัฐและการเมืองภาคประชาชนอย่างกว้างขวางในช่วงหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี
พ.ศ. 2540
ความคิดเรื่องความเป็นธรรมในสังคมสมัยใหม่ ไม่เพียงเกิดขึ้นบนพื้นฐานความคิดที่มองว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเสมอภาค มีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน หากแต่ยังอยู่บนพื้นฐานความคิด เรื่องอื่นๆ เช่น หลักการพื้นฐานของแนวคิดสิทธิมนุษยชนที่ถือเป็นหลักการสากล
ที่ถือว่ามนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค และมีศักดิ์ศรีมาตั้งแต่เกิดเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม
และยอมรับความแตกต่างของมนุษย์ ทั้งในด้านเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษาศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง
ชาติ ทรัพย์สิน ชาติกำเนิด หรือสถานภาพทางสังคม มนุษย์ทุกคนจึงควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ได้รับโอกาสและสิทธิพื้นฐานเท่าเทียมกันที่จะได้รับส่วนแบ่งในการจัดสรรทรัพยากรและการดูแลจากสังคม มีโอกาสในการเลือกดำเนินชีวิตเท่าๆ กัน รวมทั้งการรับภาระมากน้อยแตกต่างกันตามสถานะและพยายามที่จะสนับสนุนความเท่าเทียมด้วยกระบวนการให้เหตุผลที่เป็นทางโลกมากขึ้นกว่าทางศาสนา
ทั้งนี้เพื่อให้คนด้อยโอกาสที่สุดในสังคมสามารถเข้าถึงได้เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและโอกาสให้ทัดเทียมกับคนอื่น
โดยรัฐมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรให้เท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ดี
ในภาคปฏิบัติการของวัฒนธรรมยุติธรรมในสังคมไทยนั้น แม้ในระบบกฎหมายไทยจะมีพัฒนาการจากการสร้างระบบเพื่อนำไปสู่การมีกฎหมาย
การบังคับใช้ และการตีความชี้ขาดโดยกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามกฎหมาย และแม้ว่าในกฎหมายระดับต่างๆ จะมีมาตราว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของทุกคนในสังคม แต่ความเท่าเทียมเสมอภาคกันในสังคมไทยยังเป็นเพียงอุดมคติของความเป็นธรรมทางสังคม เนื่องจากมักจะพบเห็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมในชีวิตประจำวันได้เสมอ
โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีคนยากจน ได้แก่ ชาวนาชาวไร่ เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินแรงงานรับจ้าง คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นประชากรชายขอบในมิติของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
และมักจะต้องเสียสละหรือถูกเอารัดเอาเปรียบในนามของการพัฒนา ขณะเดียวกันก็ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเหล่านั้นน้อยมาก
กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินไปอย่างอิสระบนพื้นฐานความยุติธรรมเสมอไป หากแต่สัมพันธ์อย่างยิ่งกับมิติทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรม ดังกรณีของคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยในสังคมไทย
ซึ่งเป็นคนชายขอบในทางพื้นที่ภูมิศาสตร์ เนื่องจากมักอาศัยอยู่ตามพรมแดน หรืออาจข้ามไปมาระหว่างรัฐ ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่ใช้อำนาจในการตั้งถิ่นฐาน การกำหนดสถานะพลเมือง การเพิกถอนสิทธิขั้นพื้นฐาน สิทธิในการได้รับสัญชาติฯลฯ หรือกรณีชนมลายูมุสลิมที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอิสลาม
การกำหนดนโยบายทางวัฒนธรรมภายใต้วิธีคิดที่อิงอยู่กับพุทธศาสนาและวิถีไทยภาคกลาง จึงเป็นการครอบนำและกีดกันอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ที่ส่งผลเป็นความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่จนทุกวันนี้
จากบทความที่กล่าวมาข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมผ่านประชากรชายขอบนั้น
ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยมองความเป็นธรรมในความหมายที่แตกต่างๆกัน มีทั้งที่เป็นความเป็นธรรมทางศีลธรรมภายใต้กฎแห่งกรรมของพุทธศาสนา
ความยุติธรรมตามพันธะของระบบควบคุมคนในสังกัดหรือวัฒนธรรมอุปถัมภ์
ความยุติธรรมที่สัมพันธ์กับสถานะทางสังคมและอำนาจที่มีเหนือกว่าทั้งอำนาจทางการเมืองการปกครองทางสังคมวัฒนธรรม
และทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความเป็นธรรมทางสังคมที่อิงกับสิทธิมนุษยชน และการจัดสรรทรัพยากรของสังคมให้คนด้อยโอกาสหรือคนที่ถูกกดทับไว้ในสังคมได้รับโอกาสในชีวิตเท่าเทียมกับคนอื่นๆ
แต่ในกลุ่มประชากรที่เรียกว่าประชากรชายขอบ ที่ซึ่งความยุติธรรม ความเจริญก้าวหน้า โอกาสในการดำรงชีวิต
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเสมอภาคเท่าเทียมจากศูนย์กลางยังส่องลงไปไม่ถึงนั้น
เป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นการปะทะกันของความคิดว่าด้วยความเป็นธรรมในลักษณะและความหมายต่างๆ
ชัดเจนที่สุด
สังคมไทยมีการศึกษาปรากฏการณ์ปัญหาของกลุ่มคนชายขอบไม่น้อย ทั้งในแง่ของกระบวนการเป็นคนชายขอบที่เกิดขึ้นได้ใน 2 ทิศทางตรงข้ามกัน คือ เกิดจากการถูกกีดกัน ถูกทำให้ไร้อำนาจ และถูกตีตรา ทำให้แปลกแยกจากสังคมส่วนใหญ่และกลายเป็นคนชายขอบในที่สุด และการเป็นคนชายขอบที่เกิดจากการถูกดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับกระบวนการ โดยเฉพาะการพัฒนา แต่กลับนำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ที่แปลกแยกและเป็นคนชายขอบในแง่ของการศึกษา ถึงบริบทและเงื่อนไขปัจจัยของการทำให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกลายเป็นคนชายขอบ
เช่น การสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติที่กดความแตกต่างของชนกลุ่มต่างๆ ไว้ภายใต้ความเหมือนของเอกลักษณ์ไทย การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ และความพยายามสร้างอัตลักษณ์ความหมายของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมสมัยใหม่ และในแง่ของการเผชิญความไม่เป็นธรรมลักษณะต่างๆของคนชายขอบ เช่น การถูกรอนหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต
ไม่ได้รับหรือถูกบิดเบือนความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม การต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิในการร่วมจัดสรรทรัพยากรของสังคม การไม่ได้รับการยอมรับอย่างเสมอภาคเท่าเทียมในอัตลักษณ์ที่แตกต่าง เป็นต้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมของกลุ่มประชากรชายขอบทั้งที่เป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อย
คนไร้รัฐ คนพลัดถิ่นแรงงานข้ามชาติ คนหลากหลายทางเพศ คนยากคนจน ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านสิทธิเสรีภาพ
ความเสมอภาคเท่าเทียม การยอมรับในอัตลักษณ์การสร้างความหมายและการสร้างพื้นที่ทางสังคม
หรือการเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานและบริการสังคมก็ตาม ต่างสะท้อนให้เห็นถึงการตั้งคำถามกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยสร้างความรู้และภาพความจริงให้กับสังคมและคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม และได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่างกันจากความแตกต่างของคนกลุ่มต่างๆ เหล่านั้นความเป็นธรรมทางสังคมซึ่งเชื่อว่าเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของการตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ของตนเองและคนอื่นๆอย่างเสมอภาคกัน
และทุกคนพร้อมที่จะกระจายผลประโยชน์และภาระรับผิดชอบทางสังคมตามสถานภาพอย่างเหมาะสมนั้น
ดูจะเป็นความเป็นธรรมที่ห่างไกลความเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับคนชายขอบ ด้วยเหตุที่สังคมไทยยังคงมองคนชายขอบจากแง่มุมของความแตกต่าง
ความเป็นอื่น และแทบจะไม่มีทางเท่าเทียมกันได้เลย
เอกสารอ้างอิง
1. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์.(2553).ทฤษฎีความยุติธรรมของจอห์น รอลว์ส = John Rawls’A Theory Of
Justice. เอกสารคำสอนวิชา สค.313 หลักและวิธีการสังคมสงเคราะห์
3 ภาค 1/2553.คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2. จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย.(2545).ความยากจนกับการเข้าถึงความยุติธรรม. เอกสารประกอบการเสวนาทางวิชาการเรื่องกระบวนการยุติธรรมกับปัญหาความยากจนในสังคมไทย
วันที่ 6 กันยายน 2545.กรุงเทพฯ:
โครงการพัฒนาระบบกฎหมายไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
3. ชูศักดิ์ วิทยาภัค (บรรณาธิการ).(2541).บทนำ: สังคมศาสตร์กับการศึกษาคนชายขอบ.
4. ธีรยุทธ บุญมี.(2548).การเปลี่ยนแปลงสังคม วัฒนธรรม การเมือง ครั้งที่ 2
ของไทย. กรุงเทพฯ: สายสาร.
5. สุริชัย หวันแก้ว.(2546).กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
6. เสกสรร ประเสริฐกุล.(2553).การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย.
พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: วิภาษา.
7. อานันท์ กาญจนพันธุ์.(2549).การต่อสู้เพื่อความเป็นคนของคนชายขอบในสังคมไทย. ใน
อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). อยู่ชายขอบมองลอดความรู้
(หน้า 3-32).กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม.
8. http://www.prachatai3.info/journal/2011/05/34433
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น