วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาผลกระทบต่อสังคมของโรคเอดส์ นางสาว สมใจ พรมภัย 53342657


บทความวิชาการ
เรื่อง ปัญหาผลกระทบต่อสังคมของโรคเอดส์
ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา โรคเอดส์ได้แพร่ระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก หน่วยงานและองค์กรชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลกต่างร่วมมือกันต่อสู้โรคเอดส์ที่เกิดขึ้น  รวมทั้งการจัดการการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในระดับชาติในการจัดเตรียมแผนการดำเนินงาน   การศึกษาวิจัยในสาขาต่างๆ และการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ   จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติเรื่องโรคเอดส์ครั้งที่  15  เมื่อเดือน  กรกฏาคม  2547   ซึ่งในทวีปเอเชียมีเพียง ญี่ปุ่นประเทศเดียวที่เคยจัด  นับได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สองในทวีปเอเชียที่ได้รับเกียรตินี้ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งชาวไทยและต่างประเทศกว่า  20,000  คน  ผู้ที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโรคเอดส์ทุกระดับ ตั้งแต่ผู้นำทางรัฐบาล นักวิชาการ นักวิจัยชั้นนำทั่วโลกที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหาโรคเอดส์ในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ  สังคมศาสตร์ การเมือง ชุมชน  องค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน รวมทั้งผู้ที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบ   ทำให้ประเด็นปัญหาโรคเอดส์ถูกนำมากล่าวถึงอย่างแพร่หลายอีกครั้ง  
สถานการณ์เอดส์จากรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข  คาดประมาณว่าในปี  2548 นี้ จะมีผู้ติดเชื้อเอดส์สะสมในประเทศไทย  1,092,327  คน  , จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึงประมาณ  18,172  คน  , จะมีผู้ป่วยรายใหม่ถึงประมาณ  48,932  คน นอกจากนี้แล้วจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ในปี  2548-2549 รวมกัน 2 ปีถึงประมาณ   98,965  คน  และที่น่าตกใจคือจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมจากโรคเอดส์อย่างเป็นทางการในปี  2549  จะสูงถึง  600,637  คน  ซึ่งถ้านับรวมตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการแล้วจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์มากกว่านี้อีกเป็นจำนวนมากประเทศไทยจะมียอดสูญเสียทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคเอดส์สูงถึงประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 275,000 ล้านบาท  ปัจจุบันคาดว่าแนวโน้มผู้ติดเชื้อเอดส์จะเจ็บป่วยมากขึ้น และทยอยเสียชีวิตปีละ 2-3 หมื่นคน
การที่โรคเอดส์จะมีผลกระทบทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจสูง เนื่องจากโรคเอดส์ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายได้ มีแต่ยาชะลอชีวิตผู้ป่วยให้ยืนยาวออกไปได้บ้าง ซึ่งเป็นยาที่แพงมาก นอกจากนั้นการป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้ หมายถึงว่า ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคอื่นๆได้อีกมากมาย จึงต้องเสียค่ารักษาพยาบาลดูแลผู้ป่วยกันมาก คนที่เคยทำงานได้ก็ไม่ได้ทำงาน คนที่ต้องเสียชีวิตไปก็เป็นการสูญเสียทรัพยากร ทำให้การออม การลงทุนในการสร้างสรรค์ประเทศลดลง

โรคเอดส์เป็นโรคที่แพร่ระบาดได้รวดเร็ว ผ่านทางเพศสัมพันธ์ การถ่ายเลือด และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การป้องกันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากพอสมควร ในประเทศไทยที่มีโสเภณีมาก มีคนชอบเที่ยวโสเภณีมากชอบสำส่อนทางเพศ รวมทั้งรักเพศเดียวกันมาก มีคนติดยาเสพย์ติดมาก แต่คนมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์น้อย และรัฐบาลเองก็ยังไม่ได้เข้าใจปัญหาหรือตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาอย่างเพียงพอ
รัฐบาลส่วนที่เป็นผู้นำ คือ นักการเมือง ห่วงแต่เรื่องการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยุ่งกับการแก้ปัญหาขัดแย้งประจำวัน จนไม่มีจินตภาพในการมองการณ์ไกล ความคิดแบบเน้นการหาเสียง ทำให้พวกเขามักจะเลือกมองหรือเสนอแต่ภาพในแง่ดี เช่น เสนอว่าไทยจะเป็นประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่  เป็นศูนย์กลางการเงินการลงทุนในภูมิภาคนี้ในปี ค.ศ.2000 และไม่มองหรือกล้าเผชิญปัญหาที่เป็นจริง เช่น สถานะการณ์ของโรคเอดส์ในปี ค.ศ. 2000  สถานการณ์ความเลวร้ายของการทำลายสิ่งแวดล้อม การแย่งใช้ที่ดิน ป่า น้ำ พลังงาน ฯลฯ ในปี ค.ศ. 2000 แต่อย่างใด ขณะที่ข้าราชการก็สนใจแต่ทำงานประจำไปวันๆ ไม่ริเริ่มคิดการณ์ไกล ไม่มองปัญหาอย่างวิพากษ์วิจารณ์
               ในเมื่อรัฐบาลไม่กล้ามอง ไม่กล้าเผชิญปัญหาที่เป็นจริง ก็ยากที่จะเข้าใจปัญหา ยากที่จะมีเจตจำนงและความเอาจริงเอาจังในการหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องโรคเอดส์ได้ บางคนก็ยังมีทัศนคติว่าไม่ควรพูดเรื่องเอดส์มาก เดี๋ยวต่างชาติจะไม่มาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบหลบปัญหาอย่างคนที่ไม่ค่อยฉลาดนัก
รัฐบาลยังมองอย่างง่ายๆว่า เรื่องโรคเอดส์เป็นปัญหาของสาธารณสุข เหมือนโรคอื่นๆและคิดว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น นายกฯและรัฐมนตรีคนอื่นๆไม่เกี่ยวเท่าไหร่ มีเกี่ยวข้องก็ตรงที่หน่วยงานอื่นๆอยากได้งบประมาณมาใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อต้านโรคเอดส์ จะได้ทำให้หน่วยงานของตนมีเงิน มีเครื่องมือเครื่องใช้ มีส่วนได้ประโยชน์จากงบประมาณมากขึ้น แต่หน่วยงานอื่นๆของรัฐบาล
นอกจากสาธารณสุขไม่ได้คิดเรื่องประสานงานกัน ผนึกกำลังกัน เพื่อรณรงค์ต่อสู้เรื่องนี้อย่างจริงจังแต่อย่างใด กลายเป็นเรื่องต่างหน่วยงาน ต่างก็ใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์กันไปหลายกรณี เป็นการใช้เงินอย่างไม่คุ้มค่าเพราะโฆษณาประเภททำป้ายออกโทรทัศน์พูดซ้ำๆซากๆ ฯลฯ ไม่ได้ให้ความรู้ประชาชนเพิ่มขึ้นหรือไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
การวิจัยของนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ พบว่าผู้ชายไทยจำนวนมากยังชอบเที่ยวโสเภณี และมีสัดส่วนที่สูงไม่ชอบใช้ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะในหมูผู้มีการศึกษาต่ำและโสเภณีโดยเฉพาะระดับล่าง ก็ไม่กล้าหรือไม่มีสิทธิปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย แม้การประชาสัมพันธ์เรื่องเอดส์จะทำให้ปัญหานี้ลดลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ลดลงมากเท่าที่ควร นโยบายรัฐบาลที่มุ่งแต่เรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้แรงงานย้ายถิ่นไปหากินที่อื่นมากขึ้น  ทำให้เกิดปัญหาตามมา คือ ผู้ชายที่เที่ยวโสเภณีนำ


เชื้อไปติดต่อภรรยาและผู้หญิงอื่นที่เขามีเพศสัมพันธ์ด้วย และติดต่อไปถึงเด็กเกิดใหม่ด้วย กระทรวงสาธารณสุขพบว่า หญิงมีครรภ์ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างน่าห่วงใย การปล่อยให้แรงงาน และโสเภณีจากประเทศข้างเคียงเข้ามาในประเทศมากก็ยิ่งทำให้การแพร่ระบาดของโรคเอดส์เพิ่มขึ้น (รวมทั้งจะทำให้เกิดโรคติดต่ออื่นๆ เช่น มาลาเรีย เท้าช้าง ด้วย)
ปัญหาอื่นๆ คือ มีการสัมพันธ์ทางเพศในวัยรุ่น และคนทั่วไปมากขึ้น โดยไม่มีการป้องกัน เช่น การใส่ถุงยางอนามัย เพราะความเข้าใจว่าโรคเอดส์คงจะติดด่อเฉพาะจากโสเภณีหรือหญิงบริการเท่านั้น ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนไม่มีอาชีพนี้จะไม่เป็น ดังนั้นโรคเอดส์จึงแพร่ระบาดแม้ในกลุ่มที่ไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิงบริการด้วยเช่นกัน และแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เพราะคนประมาทและมีความเชื่อผิดๆ
ปัญหาโรคเอดส์ไม่ใช่ปัญหาทางสาธารณสุขล้วนๆ ที่จะแก้ได้ด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้รู้จักป้องกันเท่านั้น แต่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองด้วย เป็นปัญหาเศรษฐกิจในแง่ที่ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวและโสเภณีเป็นธุรกิจที่สำคัญที่มีคนได้ผลประโยชน์มากจำนวนหนึ่งพวกเขาจึงพยายามทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวรวมทั้งโสเภณีเองก็มีความเดือดร้อนจากปัญหาความยากจนและความอยากได้รายได้สูงขึ้น เนื่องจากค่าจ้างแรงงานบ้านเรายังต่ำมาก ประชาชนมีความแตกต่างทางฐานะรายได้มาก ทำให้คนรวยซ้อคนจนได้โรคเอดส์เป็นปัญหาสังคม ในแง่เกี่ยวกับอุปนิสัย ทัศนคติ ค่านิยมของผู้ชายไทย ในเรื่องการเที่ยวโสเภณีที่นิยมเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อน ค่านิยมของลูกสาวเรื่องการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ถึงต้องยอมเป็นโสเภณี ความเชื่อผิดๆเรื่องเพศ ปัญหายาเสพย์ติดและเรื่องเกี่ยวข้องอื่นๆ
โรคเอดส์เป็นปัญหาทางการเมืองในแง่รัฐบาลและชนชั้นนำในสังคมไทย เป็นพวกคิดอะไรสั้นๆ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว และพรรคพวก (บางคนอาจไม่คิดกอบโกย แต่ก็อยากได้อำนาจ หวงอำนาจ) ไม่คิดยาว ไม่คิดการณ์ไกล มัวแต่ขัดแย้งแย่งผลประโยชน์และอำนาจกัน ไม่คิดปฏิรูประบบโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมให้เป็นประชาธิปไตย และเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่คิดหรือพยายามทำให้ประชาชนมีความรู้มีฐานะดีขึ้น เพื่อให้ประชาชนจะได้สามารถช่วยกันแก้ปัญหาโรคเอดส์ และปัญหาอื่นๆ ในสังคมได้มากกว่าสภาพที่เป็นอยู่
ถ้าประชาชนยังไม่ตื่นตัวผลักดันให้เกิดรัฐบาลและชนชั้นนำที่ฉลาดเห็นการณ์ไกล และมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ใน 4 ปีข้างหน้าเมื่อคนไทยติดเชื้อเอดส์ 1.4 ล้านคน ก็คือการเริ่มต้นไปสู่โลกาวินาศนั่นเอง ไม่ใช่โลกานุวัตร โลกาภิวัฒน์ อย่างที่พร่ำเพ้อกัน การรีบป้องกันในปัจจุบันจะเสียต้นทุนต่ำกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่าการตามแก้ปัญหาภายหลังหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า
(อ้างอิงจาก : วิทยากร เชียงกูลปฏิรูปการเมือง.กรุงเทพฯ : มิ่งมิตร, 2540.)
               

การพบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีทำให้พบความจริงหลายอย่างที่อาจจะไม่ทราบได้เลย หากไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเอง  การยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีคนหนึ่ง จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ก้าวผ่านจุดที่เสียใจ หลังจากที่รับรู้ความจริงว่าติดเชื้อเอชไอวีได้ ผมทราบดีว่า เมื่อตอนที่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีหลายคนรู้สึกอย่างไร ตัวผมเองขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อทราบว่า ติดเชื้อเอขไอวี ความรู้สึกเสียใจ สิ้นหวังประดังประเดเข้ามาในสมอง เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ โดยลืมนึกถึงความจริงข้อหนึ่งไปว่า คนทุกคนต้องตายไม่ว่าจะติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ก็ตาม แต่การไม่ติดเชื้อเอชไอวีและยังอยู่ในวัยที่มีร่างกายแข็งแรง ทำให้ลืมนึกถึงความจริงข้อนี้  ตัวเองติดเชื้อเอชไอวีก็ไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า "คนเป็นเอดส์" กับ "ผู้ติดเชื้อเอชไอวี" สองคำนี้ต่างกันอย่างไร เหมือนกับคนส่วนใหญ่ และการที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบความแตกต่างนี่เองที่ทำให้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เพิ่มขึ้น
"คนเป็นเอดส์" หรือ คนเป็นโรคเอดส์ จริงๆ แล้วคือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ป่วยด้วยกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นหากไม่ทำการรักษาหรือรักษาไม่ทันอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ การเข้าสู่กระบวนการรักษาเอชไอวีทำให้ผมได้พบคนที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ คนที่ตาบอดจากการติดเชื้อ CMV ที่ตาเนื่องจากรักษาไม่ทัน คนที่เจ็บป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะเชื้อโรคเข้าไปทำลายสมองทำให้ร่างกายขยับได้ซีกเดียว ขับถ่ายโดยไม่รู้ตัว (เป็นฝีในสมอง) ฯลฯ จริงๆ แล้วปัจจุบันนี้ แพทย์สามารถรักษา "โรคเอดส์" ให้หายได้ ไม่เสียชีวิตหรือพิการ หากผู้ป่วยเข้าทำการรักษาอย่างทันท่วงที เหมือนกับหลายๆ คนส่วนใหญ่มัวแต่ "เฝ้าระวัง" คนเป็นเอดส์นี่เอง ที่ทำให้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น โดยไม่ทราบว่า การติดเชื้อเอชไอวีหรือการแพร่เชื้อเอชไอวีเกิดจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้ตัวและผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่รู้ตัว
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ คนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายและติดเชื้อในเม็ดเลือดขาว สามารถเผยแพร่เชื้อเอชไอวีให้กับผู้อื่นได้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยด้วยโรคเอดส์จึงจะแพร่เชื้อได้ บางคนอาจจะเจ็บป่วยหลังจากรับเชื้อเพียง 2 - 3 ปี หลายคนกว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์กินเวลาการติดเชื้อไปมากกว่า 7 - 10 ปี หรือบางคนติดเชื้อ 10 - 20 ปียังไม่เคยป่วยด้วยโรคเอดส์เลยก็เป็นได้ หรืออย่างบางคนที่ผมทราบมาติดเชื้อมา 25 - 30 ปี ยังไม่ป่วยด้วยโรคเอดส์เลยก็มี เพราะมียีนส์พิเศษสามารถควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำ ทำให้เชื้อไวรัสเอชไอวีไม่สามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่ำลง คนกลุ่มนี้จึงไม่ป่วยด้วยโรคเอดส์ แม้จะติดเชื้อเอชไอวีมานาน




คนในสังคมไทยยังขาดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคนี้อีกมาก ในปัจจุบันรายการโทรทัศน์บางรายการก็มีส่วนทำให้สังคมเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ อย่างประเด็นที่ว่า ผู้ติดเชื้อเมื่อได้รับยาต้านไวรัสแล้วมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยไม่ป้องกันเป็นการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น ความจริงแล้วตรงกันข้าม ผู้ติดเชื้อรายนั้นต่างหากที่มีโอกาสติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทั้งเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา (หากผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยติดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา) รวมทั้งโรคเพศสัมพันธ์อื่นๆหรืออย่างบางกรณีที่ถกเถียงกันว่า การรับยาต้านไวรัสเร็วหรือช้าดี ทั้งๆ ที่มีงานวิจัยออกมาแล้วว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รับยาต้านไวรัสแล้ว ลดโอกาสแพร่เชื้อเอชไอวีให้กับคู่นอน ก็ยังมามัวถกเถียงกันประเด็นที่ว่ากินเร็วทำให้ดื้อยาเร็วหรือทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ แต่ไม่ได้มองในแง่ที่ว่าช่วยลดอัตราการเพิ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย นอกเหนือจากประเด็นที่ว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ตั้งใจแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นโดยสมัครใจ
การรับรู้สุขภาพและการดูแลสุขภาพ เป็นแบบแผนที่มีขอบเขตครอบคลุม เกี่ยวกับการรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง ตลอดจนการดูแลสุขภาพตนเอง และผู้ที่ตนรับผิดชอบ ซึ่งประกอบด้วย พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและความเจ็บป่วย การดูแลรักษา รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพ เนื่องจากโรคเอดส์เป็นโรคที่ไม่หายขาด และเป็นโรคที่กระทบอวัยวะของร่างกายหลายระบบ โดยเฉพาะในระยะที่มีการติดเชื้อของสมอง มีการอักเสบของจอตาจากเชื้อชัยโตเมกาโลไวรัส และระยะเอดส์ดีเม็นเซีย ทำให้ผู้ป่วยซึม สับสน ชัก หมดสติ และการมองเห็นลดลง จนถึงตาบอด ซึ่งส่งผลกระทบต่อแบบแผนการรับรู้สุขภาพ และการดูแลสุขภาพ โดยทำให้ผู้ป่วยมีข้อจำกัด ในการรับรู้สุขภาพ และเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อในระยะแรกที่ทราบว่า ตนเองติดเชื้อเอดส์มักจะวิตกกังวล ซึมเศร้า ท้อแท้ ไม่ยอมรับ ทำให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพของตนเองโดยทั่ว ๆ ไปลดลง การรับรู้ก็ลดลง รวมทั้งโรคเอดส์เป็นโรคที่เพิ่งค้นพบในระยะ 10 ปี มานี้ ผู้ป่วยจึงไม่มีความรู้ในการดูแลตนเอง ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ จึงมีความสำคัญยิ่ง
อาหารและการเผาผลาญสารอาหาร แบบแผนนี้มีขอบเขตครอบคลุมเกี่ยวกับอาหาร การเผาผลาญสารอาหาร ภาวะโภชนาการ น้ำ และ อิเล็กโตรลัยต์ การเจริญเติบโต และระบบภูมิคุ้มกัน ผลกระทบต่อแบบแผนนี้ได้แก่ แบบแผนในการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป โดยมักจะมีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารไม่ได้ ทั้งจากภาวะของโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อม ทำให้ติดเชื้อราในปากและหลอดอาหาร เป็นเริมบริเวณริมฝีปาก และในช่องปาก เป็นผลในช่องปาก เป็นมะเร็งแคโปสิ ซาร์โคมาบริเวณลิ้น เยื่อบุในช่องปาก และหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปาก กลืนลำบาก ร่วมกับความเครียดที่ต้องเผชิญกับโรค และปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร จนถึงขั้นรับประทานอาหารไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะขาดอาหารซึ่งสามารถสรุปปัจจัยที่มีผลทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ขาดสารอาหารได้ดังตารางที่ 7 และจากการที่โรคเอดส์เป็นโรคที่ไม่หายขาด มีการกำเริบเป็นครั้งคราว ต้องเข้าโรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจมีผลทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ ความอยากอาหารลดลง


รับประทานอาหารได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การดูดซึม และการย่อยลดลง จากการถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จึงมักมีภาวะทุพโภชนาการร่วมด้วยเสมอ ทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลของน้ำ และอิเล็กโตรลัยต์ เนื่องจากภาวะอุจจาระร่วงเรื้อรัง อาการคลื่นไส้อาเจียน และการรับประทานอาหารได้น้อย ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ โซเดียมในเลือดต่ำ โปแตสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ ส่งผลให้กล้ามเนื้อในทางเดินอาหารอ่อนแรง ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน และท้องอืดได้ ส่งผลให้น้ำหนักลด และมีอาการผอมแห้ง ในทารกที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ จะพบการเจริญเติบโตและพัฒนาการช้า นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อม เนื่องจากเชื้อไวรัสเอชไอวีทำลาย ซีดี 4 ทำให้เกิดมะเร็ง และติดเชื้อฉวยโอกาสทั่วร่างกาย 
กิจกรรมและการออกกำลังกาย มีขอบเขตครอบคลุมถึงการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การดูแลที่อยู่อาศัย การออกกำลังกาย กีฬา และนันทนาการ การพัฒนาการ และการทำงานของระบบโครงสร้างและกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ระบบหัวใจ และไหลเวียน ผลกระทบต่อแบบแผนนี้ ได้แก่ ความสามารถในการเคลื่อนไหว และทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากโรคเอดส์ทำให้กิดภาวะทุพโภชนาการ ภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ ภาวะขาดน้ำ และโซเดียม ไข้ ติดเชื้อทั่วไปในร่างกายโดยเฉพาะการติดเชื้อในสมอง และทางเดินหายใจ ภาวะเอดส์ดีเม็นเชีย ภาวะอุจจาระร่วงเรื้อรังร่วมกับอาการผอมแห้ง และเลือดออกง่าย ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนถึงอัมพาต และหมดสติได้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้การระบายอากาศ และการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง เนื่องจากมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจจากการติดเชื้อฉวยโอกาส และมะเร็งแคโปสิ ซาร์โคมา ทำให้กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง อาจเกิดภาวะหายใจวายจากการติดเชื้อที่รุนแรง และกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาตจากภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ ยังทำให้เกิดอาการไอแห้ง ๆ เป็นเวลานาน หายใจหอบ หอบเหนื่อยเมื่อออกแรง หายใจตื้น อัตราการหายใจลดลง ไอเป็นเลือด อาจทำให้เกิดภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรง ทำให้ความดันโลหิตลดลงหัวใจเต้นเร็วขึ้น การไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังลดลง อาจเริ่มเขียวคล้ำเป็นแห่ง ๆ อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่า เนื่องจากภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ
การพักผ่อนนอนหลับ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการนอน กระบวนการนอนหลับ และการผ่อนคลาย โรคเอดส์ส่งผลกระทบต่อแบบแผนนี้ โดยทำให้นอนไม่หลับ หรือพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากภาวะเครียดและแรงกดดันด้านจิตใจ นอกจากสาเหตุทางจิตแล้ว ยังพบสาเหตุจากทางกายได้ เช่น อาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจ อาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง อาการปวด และเจ็บ เป็นต้น ญาติผู้ป่วยก็อาจได้รับผลกระทบต่อแบบแผนการนอนเช่นเดียวกับผู้ป่วย เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น เป็นห่วงกลัวผู้ป่วยจะตาย หรือต้องดูแลผู้ป่วยอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยเอดส์ที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย หรือผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่นอนรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งญาติต้องดูแลผู้ป่วยทั้งหมด จะทำให้การพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ

 สติปัญญาและการรับรู้ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัส และการตอบสนอง ความสามารถทางสติปัญญาและความรู้ การพัฒนาการทางสติปัญญา ผลกระทบต่อแบบแผนนี้ ได้แก่ การรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัส และการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดอาการปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บในช่องปาก หลอดอาหาร และทวารหนัก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในสมองและทางเดินอาหาร ทำให้ไม่สุขสบาย ทำให้ตาพร่ามัว จนถึงตาบอดได้ เนื่องจากจอตาอักเสบจากการติดเชื้อซัยโตเมกาโลไวรัสของระบบประสาท นอกจากนี้อาจมีการสูญเสียความจำ พูดคุยไม่รู้เรื่อง ซึม สับสน และหมดสติจากการติดเชื้อฉวยโอกาส และภาวะเอดส์ดีเม็นเซีย หรือสมองอับเสบจากเชื้อเอชไอวี โดยมีอาการทางคลีนิคดังนี้ อาการเริ่มแรกมักจะสูญเสียความทรงจำ และความสนใจ เช่นจำชื่อคนไม่ได้ จำวันไม่ได้ เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ยาก พูดโต้ตอบช้า และขาดความสนใจต่อสังคม แยกตัวจากสังคม อาจพบอาการทางจิตจากออร์แกนนิค (organic psychosis) คือ อาการกระสับกระส่าย พฤติกรรมไม่เหมาะสม หรืออาการประสาทหลอน อาการระยะหลังจะมีการสูญเสียทางความคิด และการเคลื่อนไหว เช่น ความคิดสับสน ไม่พูด อาการจ้องถลึงตา การเคลื่อนไหว และการเดินผิดปกติ ขาเกร็ง ขาอ่อนแรง จนถึงขั้นเป็นอัมพาต มือสั่น กล้ามเนื้อสั่น และกระตุก หรือชัก กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ตาบอด เพ้อคลั่ง และหมดสติ
การรับรู้ตนเอง และอัตมโนทัศน์ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อตนเอง ได้แก่ ภาพลักษณ์ อัตมโนทัศน์ และความภูมิใจในตนเอง ผลกระทบต่อแบบแผนนี้ได้แก่ การสูญเสียภาพลักษณ์ โดยจะพบในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ปรากฎอาการ และผู้ป่วยเอดส์ ทั้งนี้เนื่องจากอาการผอมแห้ง น้ำหนักลด ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะขาดน้ำ มีการติดเชื้อบ่อย ๆ เช่น ติดเชื้อเฮอาร์ปีสซิมเพล็กซ์บริเวณริมฝีปากหรือทวารหนัก ติดเชื้อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอุจจาระร่วงเรื้อรัง ติดเชื้อระบบประสาท ทำให้เสียการทรงตัว ตาบอด หรือเป็นอัมพาต เป็นต้น ภาวะผมร่วงในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด รวมถึงการนอนที่ไม่เพียงพอ ไม่สุขสบาย และภาวะเครียดจากโรค ทำให้ผู้ป่วยซึ่งเคยมีสุขภาพแข็งแรงกลายเป็นผู้ที่อ่อนแอ ผอมแห้ง ไม่มีแรง ทำกิจกรรมได้ลดลงและมีภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังมีผลต่ออัตมโนทัศน์ในทางลบ รู้สึกตนเองผิดและอับอายที่เป็นโรคเอดส์ เนื่องจากสังคมประนามว่าเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่ดี เช่น พฤติกรรมสำส่อน เพศสัมพันธุ์แบบรักร่วมเพศ หรือติดตาเสพติด การถูกปฎิเสธ และรังเกียจจากคู่สมรส หรือครอบครัว หรือเพื่อน หรือบุคลากรในทีมสุขภาพ และผู้คนในสังคม ผู้ป่วยยังรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และขาดความภูมิใจนตนเองได้ จากสมรรถภาพทางร่างกายที่ลดลงหรือเปลี่ยนไป ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ต้องพึ่งพาผู้อื่น เป็นภาระของครอบครัวและสังคม เนื่องจากไม่สามารถดูแลตนเองได้ รวมทั้งการตกงานจากสังคมรังเกียจ ทำให้ขาดรายได้จึงต้องพึ่งพาครอบครัวทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียคุณค่าและศักดิ์ศรี รู้สึกท้อถอย ไร้พลัง (powerlessness) ในการต่อสู้กับชีวิต ร่วมกับปัจจุบันนี้ยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้

บทบาทและสัมพันธภาพ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพการสื่อสาร บทบาท ตลอดจนพัฒนาการทางด้านสังคม ผลกระทบต่อแบบแผนนี้ได้แก่ การแยกตัวจากสังคม ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว และสังคม ดังนี้ คือ จากการที่ผู้ป่วยสูญเสียภาพลักษณ์ ทำให้ไม่อยากเข้าสังคม จากการที่ไม่มีแรงออกไปพบปะผู้คน กลัวผู้อื่นรู้ว่าตนเป็นเอดส์ จากการที่ครอบครัวแสดงความรังเกียจ และปฏิเสธ หรือเพื่อนบ้าน และสังคมแสดงความรังเกียจเพราะกลัวติดโรค นายจ้างบางคนไล่ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการออกจากงาน เนื่องจากกลัวนำเชื้อไปแพร่ ทำให้ต้องตกงานดังเช่นกรณีของคุณฉะอ้อน เสือสุ่ม ซึ่งเป็นผู้ป่วยเอดส์ที่ต้องประสบกับการถูกออกจากงาน ถูกเพื่อนบ้านรังเกียจ เคยถูกไล่ออกจากบ้านเช่าถึง 32 ครั้ง (วิวัฒน์, 2534) การหางานใหม่ก็ยาก เพราะระเบียบบริษัทส่วนใหญ่ จะระบุให้ตรวจเลือดหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอชไอวีก่อน อีกทั้งผลต่อสัมพันธภาพในครอบครัว ครอบครัวที่ผู้ป่วยไม่ปิดบังก็เสี่ยงต่อการแสดงความรังเกียจ และปฏิเสธ ส่วนในครอบครัวที่ผู้ป่วยปิดบัง ตัวผู้ป่วยต้องป้องกันตนเองไม่ให้แพร่เชื้อแก่คู่สมรส โดยขณะมีเพศสัมพันธ์ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ซึ่งปกติไม่เคยใช้ ทำให้เกิดความระแงได้ ครอบครัวใดมีการติดเชื้อเอชไอวีทั้งพ่อและแม่ โอกาสที่ลูกจะกำพร้าทั้งพ่อและแม่มีได้สูง เนื่องจากผู้ป่วยเอดส์มักเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร และยังเสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ทั้งครอบครัวจากสามีนำเชื้อมาแพร่ให้กับภรรยาทางเพศสัมพันธ์ แล้วแม่ที่มีเชื้อก็สามารถแพร่เชื้อไปยังลูกในครรภ์ได้ ประมาณร้อยละ 30 - 50 นอกจากนี้ยังทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องเปลี่ยนบทบาท เช่น ภรรยาต้องเป็นผู้นำครอบครัว ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และทำงานบ้านด้วย รวมทั้งต้องดูแลสามีซึ่งป่วยอยู่ หรือลูกต้องหยุดเรียนเพื่อเฝ้าพ่อ
เพศและการเจริญพันธุ์ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการตามเพศ การเจริญพันธุ์และเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์มีผลกระทบต่อแบบแผนนี้ทั้งระยะที่ไม่มีอาการ และมีอาการ โดยในผู้ติดเชื้อที่ไม่ปรากฎอาการกลุ่มที่ต่อต้านสังคม จะมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น หรือสำส่อนทางเพศมากขึ้น เพราะต้องการแก้แค้นสังคมที่แสดงความรังเกียจ และโกรธผู้ที่แพร่เชื้อให้ตนเอง ในกลุ่มที่ยอมรับคำแนะนำ ก็ต้องมีพฤติกรรมการป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง โดยต้องใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี และป้องกันการรับเชื้ออื่น สำหรับในคู่สมรสมักพบว่ามีเพศสัมพันธ์ลดลง สำหรับผู้ป่วยเอดส์ และผู้ติดเชื้อที่ปรากฎอาการ มักมีเพศสัมพันธ์ลดลง เนื่องจากการเจ็บป่วยที่เรื้อรัง อ่อนล้า ภาวะเครียดจากโรค และปัญหาทางเศรษฐกิจ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ จึงทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ลดลง โดยในคู่สมรสที่ทราบว่าติดเชื้อเอชไอวีทั้งสองฝ่ายจะคุมกำเนิด ส่วนในคู่สมรสที่มาตรวจพบเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจตัดสินใจทำแท้ง ส่วนลูกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ อาจติดเชื้อเช่นกันทำให้ชีวิตสั้นลง
การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด เกี่ยวข้องกับการรับรู้ต่อความเครียดและสาเหตุ วิธีการขจัดความเครียด และความสามารถในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด โรคเอดส์ส่งผลกระทบต่อแบบแผนนี้สูงทั้งต่อผู้ป่วยเอง และครอบครัว กล่าวคือ โรคเอดส์ก่อให้เกิดความเครียดตั้งแต่เริ่มตรวจพบเชื้อไปจนตลอดชีวิต บางคนเมื่อทราบว่าตนติดเอดส์ ถึงกับเกิดอาการช็อคทันที ผู้ที่มารับการตรวจ และพบว่าตนมีเลือดบวกมักจะไม่มีอาการแสดง แต่ก็มีความกังวล ซึ่งมี 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีความวิตกกังวลน้อย

 หรือไม่มีเลย และประเภทที่มีความวิตกกังวลมาก ประเภทแรกมักใช้กลไกการปรับตัวโดยการปฏิเสธ และยังคงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์สำส่อน การฉีดยาเสพติด และแม้ว่าบุคคลกลุ่มนี้จะตระหนักถึงโรคนี้อยู่ ก็ไม่คิดว่าจะถูกคุกคามต่อชีวิต สำหรับผู้ที่มีความวิตกกังวลมาก ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่เคยมีประวัติพฤติกรรมเสียงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น ไม่เที่ยวสำส่อน ไม่ฉีดยาเสพติด อาจเพิ่งเที่ยวหญิงบริการเป็นครั้งแรก หรือ ติดจากการรับเลือด จึงมีความวิตกกังวลสูงเมื่อได้ทราบว่าตนติดเชื้อ กลัวการแพร่เชื้อสู่บุคคลที่รัก กลัวสังคมห่างเหินกลัวถูกปฏิเสธการแสดงความสนิทสนม บุคคลกลุ่มนี้จะมีอาการซึมเศร้า หมดหวังในชีวิต ย้ำคิดย้ำทำ และอาจมีอาการทางกายอันเนื่องมาจากสาเหตุทางจิตใจ (ในผู้ป่วยอีกกลุ่มที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ โดยไม่คิดว่าเป็นผลจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันเสื่อม และเมื่อทราบผลการวินิจฉัยว่าตนเป็นโรคเอดส์จะเกิดความกลัว ความกังวลจากความเข้าใจว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หาย อาจจะตายในไม่ช้า ความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต กลัวถูกต่อต้าน หรือถูกรังเกียจจากสังคม เนื่องจากคนทั่วไป เข้าใจว่าโรคนี้ติดมาจากการสำส่อนทางเพศ การติดยาเสพติด ความวิตกกังวลจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ความรุนแรงของอาการ ผลการวินิจฉัยโรค การรักษา และผลการรักษา
คุณค่าและความเชื่อ เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับความเข้มแข็งทางจิตใจ สิ่งที่มีคุณค่าและความเชื่อที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของบุคคล รวมทั้งความเชื่อมั่นสุขภาพ โรคเอดส์เป็นโรคที่เรื้อรัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนของความเข้มแข็งทางจิตใจ ทำให้เปลี่ยนความเชื่อ สิ่งยึดเหนี่ยวหรือสิ่งที่คิดว่ามีคุณค่าสำหรับคนได้ บางคนอาจรู้สึกว่าการที่ตนป่วยเป็นโรคเอดส์ เป็นการลงโทษจากพระเจ้า บางคนคิดว่าเป็นการใช้อำนาจทางไสยศาสตร์ของคนที่คิดร้ายต่อตน ทำให้ต้องล้มป่วยลง บางรายอาจเสื่อมนับถือในสิ่งที่เคยยึดเหนี่ยว และเชื่อถือ เนื่องจากคิดว่าสิ่งที่นับถือไม่ได้ช่วยเหลือตนให้พ้นจากความเจ็บป่วยเลย ทั้ง ๆ ที่ตนทำดีมาตลอด หรือบางรายที่ไม่เคยเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์โชคลาง ก็อาจเปลี่ยนมานับถือเพื่อหาสิ่งยึดเหนียว หรือหาที่พึ่ง เนื่องจากหมดหวังในภาวะเจ็บป่วยซึ่งไม่หาย และสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ตนตลอดมา จะเห็นว่าโรคเอดส์ ส่งผลกระทบต่อแบบแผนสุขภาพของบุคคล และครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม       
                ฉะนั้นการใช้กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพในการประเมินผู้ป่วย เพื่อให้ครอบคลุมทั้งทางกาย จิต และสังคม จะช่วยให้พยาบาลสามารถนำข้อมูลมาวางแผนการพยาบาล แก่ผู้ป่วยเป็นรายบุคคลได้อย่างครบถ้วน    อุบัติการณ์ของโรคเอดส์ ปรากฎขึ้นอย่างรุนแรง และเฉียบพลัน จึงส่งผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ ส่วนใหญ่อยู่ใน ช่วงอายุ 20 - 59 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงาน เมื่อมาป่วยด้วยโรคเอดส์ทำให้ตกงาน เนื่องจากภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่มีแรงทำงาน และที่สำคัญยิ่ง คือ ถูกรังเกียจจากสังคมทั้งตนเอง และครอบครัว ทำให้ขาดรายได้ นอกจากนี้ ค่ารักษาที่ต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมิใช่น้อยโดยเฉพาะเมื่อไม่มีรายได้ จึงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ รัฐต้องเข้ามารับผิดชอบ โดยการให้สังคมสงเคราะห์แก่ผู้ป่วยผลกระทบด้านทรัพยากรบุคคล โรคเอดส์ทำให้สูญเสีย
 ทรัพยากรบุคคลของชาติ เนื่องจากวัยรุ่น และเด็กเป็นมากขึ้น ปัจจุบันนี้พบผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นเด็กสูงถึงร้อยละ 6 ทำให้กำลังของชาติลดลง อนาคตของชาติมืดมน อีกทั้งในปัจจุบันนี้เอดส์มีการแพร่ระบาดเข้าสู่รอบครัวแบบครบวงจร ทำให้เกิดปัญหาเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้น เด็กที่เป็นกำลังสำคัญกลับต้องเป็นภาระกับครอบครัวและประเทศชาติผลกระทบต่อขวัญของประชาชน ประชาชนในชาติจะอยู่อย่างหวาดผวา เสียขวัญ เพราะกลัวผู้ป่วยที่เป็นเอดส์ บางคนไม่กล้าว่ายน้ำในสระ บางคนไม่กล้าเข้าห้องน้ำสาธารณะ พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยบางคนก็ถูกรังเกียจ บางคนไม่กล้าไปในที่แออัด เช่น ศูนย์การค้า เพราะกลัวคนเอาเข็มฉีดยาไล่แทง
          ดังนั้น ถูกต้องในการป้องกันโรคเอดส์ จะช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จะเห็นได้ว่าโรคเอดส์ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งตัวของผู้รับเชื้อ และครอบครัว รวมไปถึงสังคมและประเทศชาติ ดังนั้นการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรคที่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ จึงมีความสำคัญยิ่ง รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วยนับเป็นภัยเงียบร้ายแรงของมวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่งก็ว่าได้  ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าเกิดสงครามเสียอีก   ยาต้านไวรัสเอดส์ที่มีในในปัจจุบันก็เพียงแค่ยับยั้งเชื้อเอดส์ในร่างกายเท่านั้น  ไม่สามารถฆ่าเชื้อชนิดนี้ได้  หากเราปล่อยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ดำเนินเช่นนี้ต่อไป  สภาพสังคมไทยคงล่มสลายเป็นแน่  ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน  ป้องกันภัยจากโรคเอดส์กันอย่างเอาจริงเอาจังทุกวิถีทาง   เพียงเริ่มต้นที่ตัวเราเองเสียแต่วันนี้   หยุดพฤติกรรมเสี่ยง  หรือหาทางป้องกัน  ในไม่ช้าโรคนี้ก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลงไปเอง   “ มาป้องกันเสียแต่วันนี้  ดีกว่าไปแก้ไขในวันหน้า”

 


2 ความคิดเห็น:

  1. ก๊อปเค้ามา ไม่มีอ้างอิงไรเลยหรา

    ตอบลบ
  2. ชื่อของฉันคือ Aminah มันเป็น จริง ที่สำคัญใน ชีวิตของฉันเป็นเอชไอวี บวก ที่จะ เชื่อ ว่าสมุนไพรสามารถรักษา แปดปี เอชไอวี ในร่างกาย ของฉันและฉัน ได้มี ปัญหา ใน ผิวของฉัน ใน ผล ของเชื้อไวรัส นี้ ฉันไม่เคย เชื่อว่าสิ่งนี้ จะทำงาน ที่ฉันได้ ใช้จ่าย เงินเป็นจำนวนมาก ซื้อ ยาเสพติด จากโรงพยาบาล เพื่อให้ฉัน มีสุขภาพดี และฉัน กำลังรอ ความตายนี้ มา เพราะผม เป็น กำพร้า วัน หนึ่งฉัน อย่างหนัก เกี่ยวกับผู้ชายคน นี้ดี ที่เป็น ที่รู้จัก ของ เอชไอวี และ การรักษา โรคมะเร็ง ฉันตัดสินใจ ที่จะส่งอีเมล okonofua_solution_tem99@hotmail.com เขา ไม่รู้ ว่าฉันว่า นี้จะเป็น จุดสิ้นสุดของ เอชไอวีใน ร่างกายของฉัน เขาเตรียม สมุนไพรสำหรับฉัน และส่งไปยัง ผ่าน บริการจัดส่ง และ การเรียนการสอน ให้ฉัน เกี่ยวกับวิธีการ ที่จะใช้ มัน ในตอนท้ายของ ไม่กี่วันบางอย่าง ที่เขา บอกให้ผม ไปที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจสอบการ ขึ้นและฉัน ก็ แปลกใจ หลังจาก การทดสอบ ที่แพทย์ ได้รับการยืนยัน ฉัน ลบ ฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องตลก ที่ ผมไป โรงพยาบาล อื่น ๆ ที่มี ฉัน เชื่อว่า ฉัน ลบ เอชไอวี ผม อยากจะ ขอขอบคุณ DR PAUL Emen สำหรับการบันทึก ชีวิตของฉัน ฉันไม่เคย เชื่อว่า ฉันจะ เป็น เอชไอวี ลบ วันนี้โปรด เพื่อน รักของฉัน ช่วยให้ฉัน จะขอบคุณ DR PAUL Emen สำหรับสิ่งที่ เขาได้ทำ ในชีวิต ของฉันฉัน รู้สึกขอบคุณ เซอร์ ถ้าคุณมี ปัญหาเดียวกัน กรุณา อิสระ ที่จะติดต่อ เขาผ่าน อีเมลนี้ ( okonofuatem99@gmail.com )
    ผมรักคุณ DR PAUL Emen ฉัน เราไม่เคย ลืมคุณ และฉัน สัญญาว่าจะ แบ่งปันประจักษ์พยาน ทั้งหมดนี้ ที่นั่น และในสถานที่ ใด ๆ ที่ ฉัน อาจจะ ขอบคุณอีกครั้ง

    ตอบลบ